ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดเรื่อการร่ายกายกับการรับรู้ เชิงปรากฏการณ์วิทยา มองผ่านงาน เมอร์โล ปงตี (Merleau Ponty) โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ตอนที่ผมเรียน ป.เอก ในรายวิชา Medical Anthropology (มานุษยวิทยาการแพทย์) ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะไม่คิดว่าการแพทย์จะมองเรื่องอัตวิสัย การรับรู้ อารมณ์ ความรู้สึกของผู้ป่วย ผมว่าตรงนี้มันเปลี่ยนมุมมองที่ผมเคยมองว่า การแพทย์มันลดทอนร่างกายมนุษย์ให้หลายเป็นวัตถุของความรู้และการรักษา มุมมองทางมานุษยวิทยามันช่วยเติมความเข้าใจเรื่องนี้ และผมเอามาพัฒนาต่อในรายวิชามานุษยวิทยา ว่าด้วยร่างกาย ภายใต้แนวคิดปรากฏการณ์วิทยา และแนวคิด Embodiment ..ที่ผมสนใจ Maurice Merleau-Ponty (อ่านว่าเมอร์โล-ปงตี) เป็นนักปรัชญาฝรั่งเศสที่มีผลงานสำคัญในสาขาปรัชญาปรากฏการณ์วิทยา (phenomenology) มุมมองของเขาที่เป็นจุดเริ่มต้น ของการพัฒนาแนวคิดเรื่องการรับรู้ การดำรงอยู่ และความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับโลกภายนอกมีดังนี้ 1. การรับรู้และร่างกาย (Perception and the Body) Merleau-Pontyมองว่าการรับรู้ไม่ใช่กระบวนการทางจิตที่แยกจากร่างกาย แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านร่างกาย การรับรู้ของเราต่อโลกภายนอกเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวและประสบการณ์ทางกายภาพ ร่างกายเป็นศูนย์กลางของการรับรู้และการอยู่ในโลก (being-in-the-world) ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของเดส์การ์ตที่มองว่าจิตและร่างกายแยกกัน 2. โลกเป็นประสบการณ์ที่มีความหมาย (The World as Lived Experience) Merleau-Ponty ยืนยันว่าเราสัมผัสและเข้าใจโลกผ่านประสบการณ์ที่มีชีวิต (lived experience) มากกว่าการคิดแบบนามธรรม โลกไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เรามองเห็น แต่เป็นสิ่งที่เรารู้สึกและมีปฏิสัมพันธ์ผ่านร่างกายของเรา 3. ความเป็นร่างเดียวของจิตและร่างกาย (Embodiment) ร่างกายไม่ใช่เพียงวัตถุที่เราครอบครอง แต่เป็นส่วนที่ทำให้เราเข้าใจและมีปฏิสัมพันธ์กับโลก การรับรู้ของเราเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งที่เราเห็นและสัมผัส ซึ่งทำให้เรามีมุมมองเฉพาะต่อโลก 4. การรับรู้ทางสังคมและการอยู่ร่วมกัน (Social Perception and Intersubjectivity) เมอร์โล-ปงตีเสนอว่าการรับรู้ทางสังคมไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากจิตใจภายในเท่านั้น แต่เกิดจากการรับรู้ผ่านร่างกาย การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นทำให้เกิดความเข้าใจและสร้างความหมายร่วมกัน ผลงานสำคัญของเขาคือหนังสือ Phenomenology of Perception (ภาษาฝรั่งเศส: *Phénoménologie de la perception*) เป็นผลงานชิ้นสำคัญของ Maurice Merleau-Ponty นักปรัชญาฝรั่งเศสที่มีอิทธิพลในสาขาปรัชญาปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) หนังสือนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1945 และเป็นผลงานที่สำรวจลึกซึ้งเกี่ยวกับการรับรู้ ประสบการณ์ทางกายภาพ และการมีอยู่ในโลกของมนุษย์ ซึ่งได้อธิบายแนวคิดเรื่องร่างกาย การรับรู้ และประสบการณ์ในโลก การวิพากษ์วิจารณ์ Cartesian Dualism โดย Merleau-Ponty เสนอว่าแนวคิดที่แยกจิตใจและร่างกายเป็นสองสิ่งที่แยกจากกันนั้นไม่สามารถอธิบายการรับรู้และประสบการณ์ของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ เขาเชื่อว่าจิตใจและร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่แยกจากกันและมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความเป็นหนึ่งเดียวของจิตและร่างกาย (Unity of Body and Mind) ที่เขาโต้แย้งแนวคิดของ Cartesian Dualism ที่แยกจิตใจและร่างกายออกจากกัน และเสนอว่าจิตใจและร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกันในการประสบการณ์และการรับรู้ แนวคิด Phenomenological Reduction เป็นการลดทอนประสบการณ์ลงไปเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของการรับรู้ โดย Merleau-Ponty ใช้วิธีการนี้เพื่อเข้าใจว่าการรับรู้ของเรามีพื้นฐานมาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกผ่านร่างกาย ความน่าสนใจและเนื้อหาสำคัญในหนังสือเล่มนี้ก็คือ การที่ Merleau-Ponty พยายามที่จะเข้าใจว่าการรับรู้ของมนุษย์ทำงานอย่างไร โดยเน้นไปที่บทบาทของ ร่างกาย ในกระบวนการรับรู้ และเสนอว่าเราควรเข้าใจการรับรู้ไม่ใช่เพียงแค่การตีความข้อมูลจากประสาทสัมผัส แต่เป็นการมีประสบการณ์ตรงจากการมีตัวตนในโลก แนวคิดสำคัญของเขาในหนังสือเล่นนี้ ประกแบไปด้วย 1. The Body as the Subject of Perception (ร่างกายคืออัตวิสัยของผู้รับรู้) Merleau-Ponty โต้แย้งแนวคิดที่เชื่อว่าการรับรู้เป็นกระบวนการทางสมองที่รับข้อมูลจากประสาทสัมผัส เขากลับเชื่อว่า ร่างกาย เป็นศูนย์กลางของการรับรู้ การมีตัวตนในโลกผ่านร่างกายเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจโลก ดังนั้นร่างกายไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็นหน่วยหรือเอเจนซี่ของการรับรู้ที่ทำให้เรามีประสบการณ์เกี่ยวกับโลกรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว การสัมผัส หรือการมองเห็น การรับรู้จึงเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย (Embodied Perception) โดย Merleau-Ponty เน้นว่าการรับรู้ไม่ใช่เพียงกระบวนการทางจิตใจที่แยกจากร่างกาย แต่เป็นการมีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อม ร่างกายเป็นเครื่องมือที่เราใช้ในการรับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับโลก 2. Intentionality of Perception (ความตั้งใจในการรับรู้) การรับรู้ไม่ได้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติโดยไร้ทิศทาง แต่มีความตั้งใจ (intentionality) ซึ่งหมายถึงการที่เรามีความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับสิ่งต่าง ๆ ที่เรารับรู้ เนื่องจากการรับรู้ของเราเกี่ยวข้องกับความสนใจและการมุ่งหมายของเรา เช่น เมื่อเราเดินไปยังจุดหมาย เรารับรู้สิ่งรอบข้างในบริบทของการมุ่งไปยังจุดหมายนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การรับรู้ข้อมูลที่กระจัดกระจาย 3.Perception as Embodied Experience (การรับรู้คือประสบการณ์ที่มีร่างกาย) Merleau-Ponty อธิบายว่าประสบการณ์การรับรู้เกิดขึ้นผ่านร่างกาย ซึ่งเชื่อมโยงกับโลกภายนอก ร่างกายไม่ใช่สิ่งแยกออกจากจิตใจ แต่เป็นสื่อกลางที่ทำให้เราเข้าใจโลกได้ ตัวอย่างเช่น การมองเห็น ไม่ได้เป็นเพียงการรับแสงเข้าตา แต่เป็นการมีประสบการณ์ในการมองที่รวมเอาการเคลื่อนไหวของร่างกายเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การหมุนหัว การเปลี่ยนตำแหน่งการมอง หรือการมองภาพในบริบท เป็นต้น 4. The Concept of Lived Experience or lived body (แนวคิดเกี่ยวกับประสบการณ์การดำรงชีวิต) ซึ่ง Merleau-Ponty ใช้แนวคิดของ ฃlived body ซึ่งเป็นการอธิบายถึงร่างกายที่เราใช้อยู่ในโลกนี้อย่างมีประสบการณ์ แทนที่จะมองร่างกายเป็นเพียงวัตถุหรือเครื่องมือเท่านั้น ดังนั้น เรารับรู้โลกรอบตัวผ่านร่างกายที่รู้สึกถึงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นการมีปฏิสัมพันธ์ทางตรงกับโลก ดังนั้นกล่าวได้ว่า Ponty ให้ความสำคัญกับการรับรู้แบบตั้งตัวอยู่ในโลก (Being-in-the-World) โดยแนวคิดนี้เน้นว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่แยกจากโลก แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลก การรับรู้เกิดขึ้นจากการที่เรามี ปฏิสัมพันธ์และมีประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมที่เรามีอยู่ รวมถึงเชื่อมโยงกับความหมายของสถานที่และเวลา (Spatial and Temporal Meaning) โดย Merleau-Ponty สำรวจว่าความหมายของสถานที่และเวลาไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดทางนามธรรม แต่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การรับรู้ที่เรามีต่อโลก รวมทั้งปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Intersubjectivity) โดย Merleau-Ponty พูดถึงการรับรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจความหมายและประสบการณ์ของกันและกัน ใน Phenomenology of Perception ของ Maurice Merleau-Ponty มีตัวอย่างรูปธรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจซึ่งเน้นการเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและการรับรู้ เพื่อทำให้ความเข้าใจเรื่องปรากฏการณ์วิทยาชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเหล่านี้ช่วยอธิบายว่าร่างกายมีบทบาทสำคัญในการรับรู้และเข้าใจโลกอย่างไร ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจและสามารถทำให้เราเข้าใจแนวคิดได้ง่ายหรือชัดเจนขึ้น เช่น 1. การเดินและการรับรู้ เมื่อเราเดินไปตามถนน เราไม่ได้คิดแยกเป็นขั้นตอนว่าเรากำลังยกเท้าไปข้างหน้า ขาขวาก้าว ขาซ้ายตาม แต่เรามีความรู้สึกโดยตรงว่าร่างกายของเรากำลังเคลื่อนที่ในสภาพแวดล้อม ร่างกายทำงานร่วมกับสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดประสบการณ์การเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและโลกที่มีการรับรู้แบบ direct and lived experience 2. การใช้เครื่องมือ เมื่อคนทำงานช่างใช้ค้อนหรือนักดนตรีใช้เครื่องดนตรี ในช่วงแรกพวกเขาต้องคิดถึงวิธีการจับหรือการใช้เครื่องมือเหล่านี้ แต่เมื่อพวกเขาชำนาญ เครื่องมือเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย (เช่น ค้อนกลายเป็นส่วนขยายของแขน) การใช้เครื่องมือกลายเป็นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับร่างกายโดยตรงซึ่ง Merleau-Ponty อธิบายว่าเครื่องมือเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ "lived body" ของเรา ทำให้เราไม่เพียงแค่ใช้เครื่องมือ แต่รู้สึกถึงมันในเชิงร่างกาย 3. การมองเห็นโลกในบริบท เมื่อเรามองภาพทิวทัศน์ เราจะไม่เพียงแค่เห็นต้นไม้ ภูเขา หรือแม่น้ำแยกกันเป็นชิ้นส่วน แต่เราจะมองเห็นภาพทิวทัศน์ทั้งหมดเป็นบริบทเดียวกันที่มีความหมาย การรับรู้ของเราจึงเป็นการรวมกันของทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ผ่านการมองเห็นและร่างกายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมองนี้ ดังนั้นเราไม่ได้เห็นแค่ภาพ แต่เรารู้สึกถึง ความกว้างของพื้นที่ ภายใต้ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ผ่านการเคลื่อนไหวของดวงตาและการตระหนักถึงการดำรงอยู่ของร่างกายในพื้นที่นั้น 4. การใช้มือเพื่อสัมผัสสิ่งของ โดย Merleau-Ponty ใช้ตัวอย่างของการสัมผัสสิ่งของเพื่อแสดงให้เห็นว่าการรับรู้ผ่านการสัมผัสเป็นกระบวนการที่ร่างกายมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เมื่อเราสัมผัสวัตถุ เช่น ลูกบอล เรารู้สึกถึงความแข็ง นุ่ม หรือรูปร่างของลูกบอล แต่เราไม่ได้เพียงแค่รู้สึกถึงคุณสมบัติเหล่านี้ เรารับรู้ลูกบอลทั้งก้อนหรือทั้งใบ ผ่านการสัมผัสและการเข้าใจถึงพื้นที่ที่มันครอบคลุม โดยที่เราไม่ต้องสัมผัสทุกส่วนของลูกบอลเพื่อรับรู้รูปร่างทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นว่า ร่างกายเราทำหน้าที่เป็นหน่วยเดียวกับโลก ในการรับรู้ 5.ประสบการณ์ของผู้พิการทางการมองเห็น Merleau-Ponty ยกตัวอย่างประสบการณ์ของคนตาบอดที่ใช้ไม้เท้าในการสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว ไม้เท้ากลายเป็นส่วนขยายของร่างกาย คนตาบอดไม่เพียงแค่รู้สึกถึงปลายไม้เท้า แต่รู้สึกถึงพื้นที่ที่ปลายไม้เท้าสัมผัส เช่น พื้นหรือสิ่งกีดขวางดังนั้น ไม้เท้าไม่ใช่เครื่องมือภายนอกอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนขยายของร่างกายที่ทำให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกในรูปแบบใหม่ 6.การขี่จักรยาน เมื่อเราขี่จักรยานในตอนแรก เราต้องคอยระมัดระวังการทรงตัวและการควบคุมแฮนด์ แต่เมื่อเราขี่จนชำนาญ การควบคุมจักรยานจะกลายเป็นอัตโนมัติ โดยเราไม่ต้องคิดถึงการทรงตัว แต่ร่างกายสามารถปรับสมดุลได้เอง จักรยานกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายในการเคลื่อนไหว เราสามารถรับรู้โลกได้ผ่านการเคลื่อนที่อย่างคล่องตัว นี่เป็นตัวอย่างของการที่จักรยานกลายเป็นเครื่องมือของการรับรู้ที่รวมกับร่างกายเพื่อสร้างประสบการณ์การเคลื่อนที่ในโลก 7.การเรียนรู้ภาษา การเรียนรู้ภาษาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ร่างกายในกระบวนการรับรู้ เมื่อเราพูดหรือฟังภาษา เราไม่ได้แค่ทำงานทางจิตเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้ร่างกายเพื่อสร้างความหมาย เราใช้ปาก ลิ้น และลมหายใจในการออกเสียง และการเคลื่อนไหวของร่างกายมีผลต่อวิธีการพูด นอกจากนี้ การสื่อสารยังเกี่ยวข้องกับการรับรู้ทางร่างกายเช่น การใช้ท่าทาง (gestures) ซึ่งเป็นการขยายความหมายในการสื่อสาร 8. การขับรถ ในการขับรถ เราต้องใช้ร่างกายในการควบคุมพวงมาลัย คันเร่ง และเบรก ในช่วงแรกของการขับ เราอาจต้องใช้สมาธิสูงในการควบคุมรถ แต่เมื่อเราขับจนชำนาญแล้ว การขับรถจะกลายเป็นกิจกรรมอัตโนมัติ ซึ่งเรารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของรถเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา รถกลายเป็นเครื่องมือที่เชื่อมโยงกับการรับรู้ของเราในโลก การที่เราสามารถรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ของรถ หรือการวางตำแหน่งของรถในถนนได้ แสดงให้เห็นถึง **ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและการรับรู้ที่เชื่อมโยงกับการใช้เครื่องมือ** ในการสร้างประสบการณ์การเดินทาง 9.การรับรู้ความลึกและพื้นที่ Merleau-Ponty อธิบายว่าการรับรู้ความลึกไม่ได้เป็นเพียงผลจากการใช้สายตาเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับการที่เรามีร่างกายที่สามารถเคลื่อนไหวและเปลี่ยนมุมมองได้ เมื่อเราเดินผ่านห้องหนึ่งไปอีกห้อง เราสามารถรับรู้ความลึกของพื้นที่ เพราะร่างกายเรากำลังเคลื่อนไหวในพื้นที่นั้น ดังนั้นการเคลื่อนไหวของร่างกายช่วยให้เรารับรู้มิติทางกายภาพของโลก โดยการเดินหรือการเปลี่ยนท่าทาง ช่วยให้เราเข้าใจโลกในลักษณะสามมิติ 10. การเต้นรำ การเต้นรำเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงให้เห็นถึงการมีร่างกายในโลกอย่างเต็มที่ เมื่อเราร่วมเต้นรำ เราไม่เพียงแค่ขยับร่างกายตามจังหวะ แต่เรารับรู้ถึงจังหวะของเพลงและการเคลื่อนไหวของคนรอบข้าง ผ่านการที่ร่างกายของเรามีส่วนร่วมในกระบวนการทั้งหมด ร่างกายกลายเป็นสื่อกลางในการรับรู้จังหวะและการเคลื่อนไหว ทำให้การเต้นรำเป็นประสบการณ์ที่เป็นทั้งการรับรู้และการแสดงออก ดังนั้น การรับรู้ไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นจากสมองหรือประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวแต่เป็นประสบการณ์ที่ครอบคลุมทั้งร่างกายและโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส การเคลื่อนไหว หรือการใช้เครื่องมือ ร่างกายทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ทำให้เราเข้าใจและรับรู้โลก โดยสรุป หนังสือ Phenomenology of Perception ของ Maurice Merleau-Ponty เสนอว่าการรับรู้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรงผ่านร่างกาย ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับโลกภายนอก การรับรู้ไม่ได้เกิดจากประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของการมีประสบการณ์ที่มีร่างกายในโลก หนังสือเล่มนี้ท้าทายแนวคิดทางปรัชญาและจิตวิทยาที่มองว่าการรับรู้เป็นเพียงกระบวนการเชิงกล ทั้งนี้ Merleau-Ponty เน้นว่าร่างกายของเรามีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของการรับรู้และการมีตัวตนในโลก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...