ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดปรากฏการณ์วิทยา ของ Maurice Merleau-Ponty โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Maurice Merleau-Ponty เป็นนักปรัชญาฝรั่งเศสที่มีผลงานสำคัญในสาขาปรัชญาปรากฏการณ์วิทยา (phenomenology) แนวคิดสำคัญของเขามีดังนี่ 1. การรับรู้และร่างกาย (Perception and the Body) เมอร์โล-ปงตีมองว่าการรับรู้ไม่ใช่กระบวนการทางจิตที่แยกจากร่างกาย แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านร่างกาย การรับรู้ของเราต่อโลกภายนอกเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวและประสบการณ์ทางกายภาพ ร่างกายเป็นศูนย์กลางของการรับรู้และการอยู่ในโลก (being-in-the-world) ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของเดส์การ์ตที่มองว่าจิตและร่างกายแยกกัน 2. โลกเป็นประสบการณ์ที่มีความหมาย (The World as Lived Experience) เมอร์โล-ปงตียืนยันว่าเราสัมผัสและเข้าใจโลกผ่านประสบการณ์ที่มีชีวิต (lived experience) มากกว่าการคิดแบบนามธรรม โลกไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เรามองเห็น แต่เป็นสิ่งที่เรารู้สึกและมีปฏิสัมพันธ์ผ่านร่างกายของเรา 3. ความเป็นร่างเดียวของจิตและร่างกาย (Embodiment) ร่างกายไม่ใช่เพียงวัตถุที่เราครอบครอง แต่เป็นส่วนที่ทำให้เราเข้าใจและมีปฏิสัมพันธ์กับโลก การรับรู้ของเราเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งที่เราเห็นและสัมผัส ซึ่งทำให้เรามีมุมมองเฉพาะต่อโลก 4. การรับรู้ทางสังคมและการอยู่ร่วมกัน (Social Perception and Intersubjectivity) เมอร์โล-ปงตีเสนอว่าการรับรู้ทางสังคมไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากจิตใจภายในเท่านั้น แต่เกิดจากการรับรู้ผ่านร่างกาย การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นทำให้เกิดความเข้าใจและสร้างความหมายร่วมกัน ผลงานสำคัญของเขาคือหนังสือ Phenomenology of Perception ซึ่งได้อธิบายแนวคิดเรื่องร่างกาย การรับรู้ และประสบการณ์ในโลก หนังสือ Phenomenology of Perception (ภาษาฝรั่งเศส Phénoménologie de la perception) เป็นผลงานชิ้นสำคัญของ Maurice Merleau-Ponty นักปรัชญาฝรั่งเศสที่มีอิทธิพลในสาขาปรัชญาปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) หนังสือนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1945 และเป็นผลงานที่สำรวจลึกซึ้งเกี่ยวกับการรับรู้ ประสบการณ์ทางกายภาพ และการมีอยู่ในโลกของมนุษย์
แนวคิดหลักของ Merleau-Ponty ในหนังสือ Phenomenology of Perception 1. การรับรู้เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย (Embodied Perception) โดย Merleau-Ponty เน้นว่าการรับรู้ไม่ใช่เพียงกระบวนการทางจิตใจที่แยกจากร่างกาย แต่เป็นการมีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อม ร่างกายเป็นเครื่องมือที่เราใช้ในการรับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับโลก 2. ความเป็นหนึ่งเดียวของจิตและร่างกาย (Unity of Body and Mind) เขาโต้แย้งแนวคิดของ Cartesian Dualism ที่แยกจิตใจและร่างกายออกจากกัน และเสนอว่าจิตใจและร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกันในการประสบการณ์และการรับรู้ 3. การรับรู้แบบตั้งตัวอยู่ในโลก (Being-in-the-World) แนวคิดนี้เน้นว่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่แยกจากโลก แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลก การรับรู้เกิดขึ้นจากการที่เรามีปฏิสัมพันธ์และมีประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมที่เรามีอยู่ 4. ความหมายของสถานที่และเวลา (Spatial and Temporal Meaning) Merleau-Ponty สำรวจว่าความหมายของสถานที่และเวลาไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดทางนามธรรม แต่เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การรับรู้ที่เรามีต่อโลก 5. ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Intersubjectivity) เขาพูดถึงการรับรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจความหมายและประสบการณ์ของกันและกัน การวิพากษ์วิจารณ์ Cartesian Dualism โดย Merleau-Ponty เสนอว่าแนวคิดที่แยกจิตใจและร่างกายเป็นสองสิ่งที่แยกจากกันนั้นไม่สามารถอธิบายการรับรู้และประสบการณ์ของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ เขาเชื่อว่าจิตใจและร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่แยกจากกันและมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง แนวคิด Phenomenological Reduction เป็นการลดทอนประสบการณ์ลงไปเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของการรับรู้ Merleau-Ponty ใช้วิธีการนี้เพื่อเข้าใจว่าการรับรู้ของเรามีพื้นฐานมาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกผ่านร่างกาย แนวคิด Intentionality การรับรู้มีวัตถุประสงค์หรือความตั้งใจ ซึ่งหมายความว่าการรับรู้ไม่ใช่เพียงการรับข้อมูลอย่างไม่ตั้งใจ แต่เป็นการมีจุดมุ่งหมายในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ เช่น 1. การรับรู้พื้นที่ผ่านร่างกาย เมื่อเรายืนอยู่ในห้อง เราไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับระยะห่างหรือมุมมอง แต่เรารับรู้ความกว้าง ความสูง และลึกของห้องผ่านการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การก้าวเดินหรือการหันหน้าไปด้านต่าง ๆ 2. การจับต้องวัตถุ ฃเมื่อเราจับถือน้ำแก้ว เราไม่เพียงแต่รับรู้รูปทรงและน้ำหนักของน้ำแก้ว แต่ยังรับรู้ถึงความรู้สึกทางกายภาพของการจับต้อง ซึ่งเกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อวัตถุ 3. การฟังเสียง การรับฟังเสียงไม่ใช่เพียงการรับสัญญาณเสียงเข้ามาในหู แต่เป็นการรับรู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เช่น การหันหัวไปทางเสียงนั้น การรู้สึกถึงความใกล้หรือความไกลของแหล่งกำเนิดเสียง 4. การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การสนทนากับคนอื่นไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนคำพูด แต่ยังเป็นการรับรู้และตอบสนองต่อท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า และการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งสร้างความเข้าใจร่วมกัน ข้อคิดและการประยุกต์ใช้ Phenomenology of Perception ไม่เพียงแต่เป็นงานปรัชญาที่มีความลึกซึ้ง แต่ยังมีการประยุกต์ใช้ในหลายสาขา เช่น จิตวิทยา สังคมวิทยา ศิลปะ และการออกแบบ เพื่อเข้าใจการรับรู้และประสบการณ์ของมนุษย์ในแง่มุมต่าง ๆ หากคุณสนใจที่จะศึกษาหนังสือนี้ ควรมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับปรัชญาปรากฏการณ์วิทยาและแนวคิดของ Edmund Husserl ซึ่งเป็นนักปรัชญาที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Merleau-Ponty การอ่านหนังสือ "Phenomenology of Perception" อาจต้องใช้เวลาและความพยายามในการทำความเข้าใจแนวคิดที่ลึกซึ้งและซับซ้อน แต่จะให้มุมมองใหม่ในการเข้าใจการรับรู้และการมีอยู่ในโลกของมนุษย์ หนังสืออีกเล่มที่สำคัญของเขาคือ Visible and Invisible เป็นหนึ่งในงานสำคัญของ Maurice Merleau-Ponty ซึ่งตีพิมพ์หลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี 1964 หนังสือเล่มนี้ถือเป็นงานเขียนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์และเป็นการขยายความเกี่ยวกับแนวคิดปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างการมองเห็น (สิ่งที่ปรากฏชัดเจน) และสิ่งที่มองไม่เห็น (สิ่งที่ซ่อนเร้นและอธิบายไม่ได้โดยตรง)
แนวคิดหลักในหนังสือ Visible and Invisible ก็คือ 1. The Chiasm (การข้ามกัน) โดย Merleau-Ponty นำเสนอแนวคิดเรื่อง Chiasm หรือการสลับกันระหว่างสิ่งที่สามารถมองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น เขาอธิบายว่าสิ่งที่เรารับรู้จากการมองเห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความจริง สิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็นยังคงมีอยู่และมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจโลกของเรา 2. Flesh (เนื้อหนัง) แนวคิดเรื่อง Flesh เป็นอีกหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ซึ่ง Merleau-Ponty ใช้เพื่ออธิบายว่าเนื้อหนังไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกายทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่สัมผัสได้และสิ่งที่มองไม่เห็น มนุษย์มีการเชื่อมต่อกับโลกที่ไม่ใช่แค่ผ่านสายตา แต่ผ่านประสบการณ์ทั้งหมดของร่างกาย 3. Perception and Reality (การรับรู้และความเป็นจริง) Merleau-Ponty เน้นย้ำว่าการรับรู้ของมนุษย์เป็นกระบวนการที่ไม่สมบูรณ์แบบ เราไม่สามารถรับรู้ความจริงทั้งหมดได้ แต่รับรู้ผ่านมุมมองที่ถูกจำกัด เขาเสนอว่าความจริงเป็นสิ่งที่เรามองเห็นบางส่วนและมองไม่เห็นบางส่วน ซึ่งทั้งสองส่วนนี้เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง รายละเอียดและตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ คือ 1. ความเข้าใจที่จำกัดของการมองเห็น (invisible) ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ข้างหน้าเรา เช่น วัตถุหรือคน เป็นเพียงภาพบางส่วน ความจริงที่เราไม่เห็น เช่น ด้านหลังของวัตถุนั้น หรือความคิดของคนที่เรากำลังพูดด้วย ยังคงมีอยู่และส่งผลต่อการรับรู้ของเรา 2.เนื้อหนัง (Flesh ) และความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับโลก ตัวอย่างเช่น เมื่อเราสัมผัสผิวของมือเราเอง เรารู้สึกได้ถึงผิวทั้งจากการสัมผัสและการถูกลับไปมา Merleau-Ponty อธิบายว่าประสบการณ์นี้เป็นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เรารู้สึกได้ (visible) และสิ่งที่เราไม่อาจเห็นหรืออธิบายได้ตรง ๆ (invisible) แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างร่างกายและโลกภายนอก 3. Chiasm ในมิติทางสังคม การปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น การพูดคุยสนทนา บางครั้งเราเห็นและได้ยินคำพูด แต่ไม่สามารถเข้าใจความคิดทั้งหมดของอีกฝ่ายได้ การแลกเปลี่ยนความคิดนี้เป็นการข้ามระหว่างสิ่งที่ปรากฏและสิ่งที่ซ่อนเร้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้โดยตรง ความสำคัญของ Visible and Invisible หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญอย่างมากในวงการปรากฏการณ์วิทยาและปรัชญาสมัยใหม่ เนื่องจากเป็นการขยายแนวคิดเรื่องการรับรู้ (perception) และการมีอยู่ของโลกในมุมมองที่ไม่เหมือนใคร โดยเน้นการผสมผสานระหว่างสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น และสำรวจความสัมพันธ์เชิงลึกระหว่างมนุษย์กับโลกสำหรับผู้ที่สนใจแนวคิดเรื่องการรับรู้ ความจริง และการมีอยู่ "Visible and Invisible" เป็นหนังสือที่ท้าทายและช่วยขยายขอบเขตความคิดของผู้อ่าน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...