ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดเรื่องความทรงจำของ Maurice Halbwachs โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

นวคิด Media of Memory ของ Maurice Halbwachs เกี่ยวข้องกับทฤษฎี ความทรงจำร่วม (Collective Memory) ซึ่ง Halbwachs เชื่อว่าความทรงจำของมนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับปัจเจกเท่านั้น แต่ยังถูกสร้างและกำหนดโดยสังคมที่บุคคลนั้นอาศัยอยู่ โดยแนวคิดนี้มองว่า สื่อ หรือ เครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยในการบันทึกและถ่ายทอดความทรงจำ ทำให้ความทรงจำร่วมสามารถถูกเก็บรักษาและส่งต่อผ่านรุ่นต่างๆ ในสังคมได้ แนวคิดหลักของ Maurice Halbwachs เกี่ยวกับ Media of Memory 1. ความทรงจำร่วม (Collective Memory) Halbwachs เสนอว่าความทรงจำของบุคคลมีรากฐานมาจากสังคมที่เขาหรือเธออาศัยอยู่ สังคมเป็นผู้กำหนดกรอบความคิดที่บุคคลใช้ในการสร้างความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือสถาบันทางสังคมต่างๆ บุคคลจึงไม่ได้จำอดีตด้วยตัวเองอย่างอิสระ แต่เป็นการจำผ่านมุมมองและโครงสร้างของสังคมที่เขาหรือเธอเป็นสมาชิก 2. บทบาทของสื่อและวัตถุ (Media and Objects) สื่อ (media) ไม่ได้หมายถึงสื่อในความหมายของสื่อสารมวลชนเท่านั้น แต่หมายถึงทุกอย่างที่ทำหน้าที่เก็บรักษาความทรงจำ เช่น อนุสรณ์สถาน รูปภาพ วิดีโอ วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งพิธีกรรมทางศาสนา Halbwachs เชื่อว่าสื่อเหล่านี้มีบทบาทในการสร้างและรักษาความทรงจำร่วม สื่อทางวัฒนธรรมทำให้เหตุการณ์ในอดีตสามารถถูกบันทึกและแบ่งปันในกลุ่มคน และถูกส่งต่อในรุ่นถัดไป 3. กรอบทางสังคมของความทรงจำ (Social Frameworks of Memory) Halbwachs เชื่อว่าแต่ละสังคมมีกรอบทางสังคม (Social Frameworks) ที่ใช้ในการจำและอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ กรอบเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลในกลุ่มสามารถสร้างความเข้าใจร่วมกันต่ออดีต เช่น การจำสงคราม การระลึกถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ หรือการเฉลิมฉลองทางศาสนา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการตกลงและสร้างความทรงจำร่วมในสังคม 4. ความทรงจำส่วนตัวและความทรงจำสังคม (Individual and Social Memory) Halbwachs ย้ำว่าความทรงจำของแต่ละบุคคลไม่สามารถแยกออกจากสังคมได้ แม้ว่าบุคคลจะมีประสบการณ์ส่วนตัว แต่การจำและอธิบายประสบการณ์นั้นก็ถูกกรองผ่านกรอบสังคม ตัวอย่างเช่น การจดจำวันสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างวันชาติ บุคคลอาจมีประสบการณ์ส่วนตัวในวันนั้น แต่การระลึกถึงความหมายของวันนั้นก็ถูกกำหนดโดยสังคมและสื่อทางวัฒนธรรม ตัวอย่างเชิงรูปธรรม อนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ อนุสรณ์สถานแห่งความทรงจำ เช่น อนุสรณ์สถานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นตัวอย่างของการใช้สื่อในการเก็บรักษาความทรงจำร่วม เหตุการณ์เหล่านี้ถูกทำให้เป็นสาธารณะและถูกเก็บรักษาผ่านวัตถุ สถาปัตยกรรม และกิจกรรมทางสังคม ทำให้ความทรงจำของเหตุการณ์สามารถส่งต่อไปยังรุ่นถัดไป พิธีกรรมทางศาสนา พิธีกรรมทางศาสนาที่จัดขึ้นในวันสำคัญต่างๆ เช่น วันคริสต์มาส วันอีสเตอร์ หรือวันปีใหม่ไทย เป็นตัวอย่างของการใช้สื่อทางศาสนาในการเก็บรักษาความทรงจำร่วมของกลุ่มคน โดยสรุป Maurice Halbwachs เสนอว่าความทรงจำของมนุษย์เป็นสิ่งที่ถูกสร้างและถ่ายทอดผ่านสังคม สื่อในที่นี้ไม่เพียงแค่หมายถึงสื่อสารมวลชน แต่ยังรวมถึงวัตถุ สถาบันทางวัฒนธรรม และพิธีกรรมต่างๆ ที่ทำหน้าที่ในการสร้างและรักษาความทรงจำร่วม ทำให้คนในสังคมสามารถเข้าใจและจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ได้ในมุมมองที่คล้ายคลึงกัน แนวคิดอีกแนวคิดที่น่าสนใจคือ The Reconstruction of the Past (การสร้างอดีตขึ้นมาใหม่) เป็นแนวคิดของ Maurice Halbwachs ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีที่มนุษย์และสังคมจำอดีต โดย Halbwachs เชื่อว่าความทรงจำของอดีตไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกบันทึกไว้เฉยๆ และไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่และปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมในปัจจุบัน แนวคิดหลักของ The Reconstruction of the Past 1. ความทรงจำไม่ได้คงที่ (Memory is not fixed) Halbwachs เชื่อว่าเราจำอดีตโดยอิงจากประสบการณ์และบริบทในปัจจุบัน อดีตจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงอยู่เสมอ แต่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกครั้งที่เราพูดถึงมันหรือระลึกถึงมัน ตัวอย่างเช่น เมื่อเราพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก วิธีที่เราจำจะเปลี่ยนไปตามอายุหรือประสบการณ์ในปัจจุบัน 2. กรอบทางสังคมของความทรงจำ (Social Frameworks of Memory) Halbwachs ชี้ให้เห็นว่าความทรงจำส่วนบุคคลของเรามักถูกสร้างและตีความผ่านกรอบทางสังคม เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน หรือวัฒนธรรมที่เราอยู่ กรอบทางสังคมนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าข้อมูลใดจะถูกเก็บรักษา และข้อมูลใดจะถูกลืมหรือปรับเปลี่ยน ทำให้ความทรงจำของบุคคลสอดคล้องกับความทรงจำร่วมของกลุ่มคน 3. การสร้างอดีตเพื่อตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน (Reconstructing the Past for Present Needs) ความทรงจำถูกสร้างขึ้นใหม่ตามความต้องการในปัจจุบัน เช่น เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มักถูกตีความใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดทางการเมือง สังคม หรือวัฒนธรรมในช่วงเวลานั้น ตัวอย่างเช่น ในแต่ละช่วงเวลาทางการเมือง การตีความเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อาจถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับนโยบายหรือความเชื่อของรัฐบาลในปัจจุบัน 4. การมีส่วนร่วมของกลุ่ม (Group Participation in Memory) Halbwachs เชื่อว่าความทรงจำของบุคคลไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการมีส่วนร่วมของสังคมและกลุ่มคน ความทรงจำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับกลุ่ม และความทรงจำของกลุ่มมีอิทธิพลอย่างมากต่อวิธีที่บุคคลหนึ่งจำอดีตได้ 5. การจัดเรียงและลำดับเหตุการณ์ใหม่ (Rearranging and Reordering Events) ความทรงจำของอดีตไม่ได้เรียงตามลำดับเหตุการณ์จริงเสมอไป แต่จะถูกจัดเรียงใหม่ตามความสำคัญของเหตุการณ์ในปัจจุบันหรือกรอบความคิดที่ได้รับอิทธิพลจากสังคม ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์เล็กๆ ในอดีตอาจถูกขยายความสำคัญขึ้นตามความหมายที่มันมีต่อชีวิตในปัจจุบัน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจและเชื่อมโยงความคิดของ Halbwach การระลึกถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เหตุการณ์อย่างการปฏิวัติหรือสงครามมักถูกนำมาพูดถึงและตีความใหม่ในแต่ละยุคสมัย ตัวอย่างเช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) อาจถูกมองว่าเป็นชัยชนะของเสรีภาพในบางยุค แต่ในอีกยุคหนึ่งอาจถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความรุนแรงและความขัดแย้ง การสร้างความทรงจำผ่านภาพยนตร์หรือสื่อมวลชน ภาพยนตร์สารคดีหรือหนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตมักจะนำเสนอเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านมุมมองของปัจจุบัน ทำให้การรับรู้เหตุการณ์ในอดีตถูกสร้างขึ้นใหม่ตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...