ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จิตวิเคราะห์ของ Jacques Lacan ในการทำความเข้าใจมนุษย์ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Jacques Lacan เป็นนักจิตวิเคราะห์ชาวฝรั่งเศสที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในศตวรรษที่ 20 โดยแนวคิดของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อการวิเคราะห์จิตใต้สำนึก ภาษา และโครงสร้างทางจิต Lacan เน้นให้เห็นความสำคัญของภาษาในกระบวนการพัฒนาจิต และทฤษฎีของเขาเชื่อมโยงกับทฤษฎีโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยมในทางปรัชญา หนังสือและแนวคิดสำคัญของ Lacan ได้แก่ 1. หนังสือ Écrits (1966) หนังสือรวมบทความสำคัญของ Lacan ที่ครอบคลุมแนวคิดหลักๆ ของเขา เช่น กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ และโครงสร้างทางจิตวิทยาของมนุษย์ หนังสือเล่มนี้เน้นแนวคิดเรื่อง Mirror Stage (ขั้นกระจก) ซึ่งอธิบายว่ามนุษย์เริ่มรับรู้ตนเองผ่านการสะท้อนจากผู้อื่นในวัยเด็ก เป็นช่วงที่สำคัญในการพัฒนาอัตลักษณ์ส่วนตัวและสังคม The Mirror Stage as Formative of the Function of the I (ขั้นกระจกกับการสร้างอัตลักษณ์) แนวคิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเข้าใจว่าเด็กเรียนรู้ที่จะรับรู้ตนเองผ่านการเห็นภาพสะท้อนของตนเองในกระจก และผ่านการยอมรับในสังคม แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับการสร้างอัตลักษณ์ของเราในสังคม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมคือ การเปรียบเทียบกับผู้คนรอบตัว ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างอัตลักษณ์และความสัมพันธ์กับสังคม The Agency of the Letter in the Unconscious (บทบาทของตัวอักษรในจิตไร้สำนึก) แนวคิดนี้พูดถึงการที่ภาษาเป็นระบบที่กำหนดและควบคุมจิตไร้สำนึกของเรา เขาเชื่อว่าภาษาไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการสื่อสาร แต่ยังเป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราสามารถคิดและรู้สึกได้ด้วย ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่เชื่อมโยง หากเรานึกถึงสถานการณ์ที่เด็กอายุประมาณ 1-2 ปีเห็นภาพสะท้อนตัวเองในกระจก แล้วเริ่มรู้สึกว่าตนเองเป็น "ฉัน" นี่คือกระบวนการที่ Lacan เรียกว่า Mirror Stage ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การมองเห็น แต่ยังเป็นกระบวนการในการกำหนดอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านการสะท้อนกลับจากภาพและจากผู้อื่น
2 . หนังสือThe Four Fundamental Concepts of Psychoanalysis (1978) หนังสือเล่มนี้เป็นการบรรยายเชิงลึกเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐาน 4 ประการของ Lacan ได้แก่ The Unconscious (จิตไร้สำนึก) The Repetition (การทำซ้ำ) The Transference (การถ่ายโอน) The Drive (แรงขับ) Lacan มองว่าเป็นพื้นฐานของจิตวิเคราะห์ ได้แก่: 1. The Unconscious (จิตไร้สำนึก) ซึ่ง Lacan ขยายความจาก Freud โดยเสนอว่าจิตไร้สำนึกนั้นถูกสร้างขึ้นผ่านภาษา และคำพูดที่เราใช้มีบทบาทสำคัญในการทำงานของจิตไร้สำนึก 2. The Repetition (การทำซ้ำ) โดยแนวคิดนี้หมายถึงวิธีที่ผู้คนมักทำซ้ำพฤติกรรมหรือประสบการณ์เดิมๆ ซึ่งเป็นผลมาจากจิตไร้สำนึก 3. The Transference (การถ่ายโอน) Lacan มองว่าการถ่ายโอนอารมณ์จากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลอื่นเกิดขึ้นในกระบวนการบำบัดจิตใจ โดยที่ผู้ป่วยอาจฉายภาพความรู้สึกและประสบการณ์จากอดีตไปยังนักจิตวิเคราะห์ 4. The Drive (แรงขับ) Lacan ขยายความแนวคิดของแรงขับจาก Freud โดยมองว่าแรงขับมีลักษณะวนเวียนและไม่เคยถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในสถานการณ์ที่มีคนพบว่าตัวเองทำซ้ำพฤติกรรมเดิมๆในความสัมพันธ์ เช่น การดึงดูดคู่รักที่มีพฤติกรรมคล้ายกันกับคนในอดีต แนวคิดนี้อธิบายว่าเป็นการทำซ้ำที่เกิดขึ้นเพราะจิตไร้สำนึกยังไม่ได้แก้ไขปมปัญหาเดิม หรือการถ่ายโอนอารมณ์หรือความรู้สึกจากคนในอดีตไปยังนักบำบัดจิต (Transference) เป็นตัวอย่างชัดเจนของวิธีที่จิตไร้สำนึกทำงานผ่านภาษาและความสัมพันธ์ Lacan เน้นความสำคัญของ ภาษา (Language) ว่ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดและจัดโครงสร้างความรู้สึกและจิตใต้สำนึกของมนุษย์
3. หนังสือ The Seminar of Jacques Lacan เป็นชุดบรรยายของLacan ที่รวบรวมออกมาเป็นหลายเล่มที่ Lacan พูดถึงหัวข้อต่างๆ โดยเชื่อมโยงทฤษฎีจิตวิเคราะห์กับปรัชญา วรรณกรรม และสังคมศาสตร์ ตัวอย่างเล่มสำคัญในซีรีส์นี้คือ 3.1 หนังสือ The Seminar, Book XI: The Four Fundamental Concepts of Psychoanalysis เล่มนี้เป็นการเจาะลึกแนวคิดหลักเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์ เช่น จิตไร้สำนึก การถ่ายโอน และแรงขับ การวิเคราะห์ของ Lacan ในที่นี้มีการเชื่อมโยงจิตวิเคราะห์เข้ากับภาษาศาสตร์ วรรณกรรม และศิลปะ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น ในชีวิตประจำวัน การสังเกตว่าภาษาที่เราพูดมีผลต่อสิ่งที่เราคิดและรู้สึก อาจเห็นได้จากการที่คนเรามักจะมีปัญหาในการพูดถึงบางเรื่อง (เช่น ความกลัวหรือความวิตกกังวล) ซึ่งบ่งบอกถึงการทำงานของจิตไร้สำนึกที่ควบคุมผ่านภาษา 3.2 หนังสือ The Seminar, Book VII: The Ethics of Psychoanalysis เนื้อหาจองหนังสือเล่มนี้เป็นการบรรยายของ Lacan เกี่ยวกับจริยธรรมในจิตวิเคราะห์ซึ่งเขาตั้งคำถามถึงจริยธรรมของการแสวงหาความสุขและความพึงพอใจ เขาวิเคราะห์ผ่านกรอบทางจิตวิทยาและวรรณกรรม เช่น การใช้ตำนานเรื่องของโซฟีคลีส (“Sophocles“,“Antigone”) เพื่ออธิบายความขัดแย้งระหว่างกฎเกณฑ์ทางสังคมกับแรงขับทางจิตใจ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น การตัดสินใจที่ต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ "ถูกต้องตามกฎ" กับสิ่งที่ "ทำให้เกิดความสุขส่วนตัว" อาจเกิดขึ้นในหลายสถานการณ์ เช่น ในการทำงานหรือความสัมพันธ์ ซึ่ง Lacan ตั้งคำถามถึงจริยธรรมที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเหล่านี้
สำหรับแนวคิดหลักของ Lacan ที่เป็นที่รู้จักกันได้แก่ 1. The Mirror Stage (ขั้นกระจก) Lacan อธิบายว่าเด็กเริ่มตระหนักถึงอัตลักษณ์ของตนเองผ่านภาพสะท้อนในกระจก ซึ่งช่วยพัฒนาอัตลักษณ์ผ่านการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาสังคมเพื่อสร้างตนเอง 2. The Symbolic, The Imaginary, and The Real (ระบบสัญลักษณ์ จินตภาพ และความจริง) Lacan แบ่งโครงสร้างทางจิตออกเป็นสามระดับ ได้แก่ 2.1 The Symbolic (สัญลักษณ์) ซึ่งเป็นโลกของภาษาและกฎระเบียบ 2.2 The Imaginary (จินตภาพ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพที่เราใช้ในการรับรู้ตนเองและโลก 2.3 The Real (ความจริง) คือสิ่งที่ไม่สามารถพูดถึงได้ หรือที่อยู่เหนือการแสดงออกทางภาษา 3. แนวคิดเรื่อง Desire (ความปรารถนา) Lacan อธิบายว่า "ความปรารถนา" เป็นสิ่งที่ไม่สามารถถูกเติมเต็มได้โดยสิ้นเชิง และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในชีวิตมนุษย์ มันเกิดขึ้นจากการขาดบางสิ่งที่ไม่สามารถหามาทดแทนได้ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น การทำงานวิเคราะห์ทางจิตวิทยาที่ใช้แนวคิด Lacanian psychoanalysis มักจะเน้นการสำรวจจิตไร้สำนึกผ่านภาษาและความฝัน ซึ่งต่างจาก Freud ที่เน้นความหมายของสัญลักษณ์โดยตรง แนวคิดของ Lacan เชื่อว่าภาษาสร้างความเป็นจริงทางจิตและสะท้อนให้เห็นถึงจิตไร้สำนึก อาจกล่าวได้ว่า ในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ Jacques Lacan นั้น แนวคิดเรื่อง “ความปรารถนา" (Desire) มีบทบาทสำคัญอย่างมาก และถือเป็นหนึ่งในแรงขับพื้นฐานที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมและอารมณ์ของมนุษย์ แนวคิดนี้ถูกพัฒนาและขยายความจากแนวคิดของ Sigmund Freud แต่ Lacan มีวิธีการมองความปรารถนาที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้น โดยเชื่อมโยงกับภาษาและโครงสร้างของจิตใจมนุษย์ ความปรารถนา (Desire) ในมุมมองของ Lacan มีลักษณะดังนี้ 1. Desire is the Desire of the Other (ความปรารถนาของเราคือความปรารถนาของคนอื่น) Lacan เชื่อว่าความปรารถนาของเราไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบปัจเจกหรือโดยตัวเราเอง แต่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์กับผู้อื่น เราอยากได้สิ่งที่ "คนอื่น" ปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นจากการมอง การเปรียบเทียบ หรือการถูกสร้างผ่านสังคมและภาษา ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในชีวิตจริง เช่น การที่เราปรารถนาหรือมีความต้องการด้าน สถานะทางสังคม หรือสิ่งของที่คนอื่นมี เพราะเราเห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านั้นจากสังคม ไม่ใช่เพราะสิ่งนั้นมีความสำคัญในตัวเอง 2. Desire and Lack (ความปรารถนาและการขาด) Lacan อธิบายว่า ความปรารถนาเกิดจากการขาดบางสิ่งบางอย่างในจิตใจของเรา ซึ่งไม่สามารถเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นความรัก การยอมรับ หรือความสมบูรณ์แบบ มนุษย์จึงคงความปรารถนาไว้ตลอดเวลา และมันเป็นการขับเคลื่อนชีวิต ตัวอย่างเช่น ความปรารถนาทางความสัมพันธ์ เมื่อเราคิดว่าเราขาดบางสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสมบูรณ์ในความสัมพันธ์ เช่น ความรักที่ไม่เพียงพอ หรือการต้องการการยอมรับจากคนที่เรารัก 3. The Role of Language (บทบาทของภาษา) Lacan เน้นว่าภาษาเป็นตัวกำหนดโครงสร้างของความปรารถนา มนุษย์ใช้ภาษาในการแสดงออกถึงความปรารถนา แต่ความปรารถนาเหล่านั้นมักจะไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างสมบูรณ์ เรามักจะ "ต้องการบางสิ่ง" แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า "บางสิ่ง" นั้นคืออะไร นี่เป็นเพราะความซับซ้อนของจิตไร้สำนึกและการขาดแคลนที่ภาษาไม่สามารถแสดงออกได้ทั้งหมด ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น การแสวงหาความสุขในชีวิต ที่เราอาจไม่สามารถระบุได้ว่าอะไรคือความสุขสูงสุด แต่เราก็ยังคงแสวงหามันอยู่เสมอ 4. Object a (Objet petit a) แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีแรงขับของ Lacan โดย "Object a" หมายถึงวัตถุที่เราแสวงหาที่เป็นตัวแทนของความปรารถนาที่ไม่สามารถเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ มันเป็นสิ่งที่เราแสวงหาเพราะเรารู้สึกขาดอยู่เสมอ แต่เราก็ไม่สามารถบรรลุหรือครอบครองมันได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น การแสวงหาความรักที่สมบูรณ์แบบ เราอาจมองว่าคู่รักหนึ่งคือการเติมเต็มความปรารถนาของเรา แต่เมื่อได้มาแล้ว เรากลับพบว่ามันยังมีสิ่งที่ขาดหายอยู่เสมอ ทำให้เรายังคงแสวงหาความสมบูรณ์แบบในความสัมพันธ์ต่อไป ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในงานของ Lacan ที่จะเชื่อมโยงแนวคิดของเขาให้สมบูรณ์ เช่น 1. ความปรารถนาและกระจก (The Mirror Stage) Lacan อธิบายว่าใน ”ขั้นกระจก" (Mirror Stage) เด็กจะเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก และเริ่มสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านการรับรู้ว่าตัวเองเป็น "ฉัน" แต่การรับรู้นี้จะไม่ได้สมบูรณ์ เนื่องจากสิ่งที่เด็กเห็นเป็นเพียง "ภาพสะท้อน" ที่ไม่สมบูรณ์ของตัวเอง ความปรารถนาจึงเกิดขึ้นจากการที่เด็กอยากจะ "เป็น" ตัวตนที่สมบูรณ์แบบตามที่ตนเองเห็นในกระจก แต่ไม่สามารถบรรลุได้ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในชีวิตประจำวันเรามักจะรู้สึกว่าเราต้องปรับปรุงตัวเองหรืออยากจะเป็นคนอื่นที่ "สมบูรณ์แบบ" มากขึ้น เช่น การเปรียบเทียบตัวเองกับคนดังในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ไม่ใช่ความจริงเต็มๆ แต่เราก็ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนเขา 2. การปรารถนาในความสัมพันธ์ (Desire in Relationships) Lacan อธิบายว่าความปรารถนาในความสัมพันธ์มักจะเกิดขึ้นจาก ”การขาด“ (Lack) ที่เรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้รับจากอีกฝ่าย ตัวอย่างเช่น เมื่อคนคนหนึ่งปรารถนาความรักจากอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนเอง "สมบูรณ์" แต่ความรู้สึกนี้เป็นเพียงชั่วคราว เพราะความปรารถนาของเรามักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในความสัมพันธ์โรแมนติก เราอาจมีช่วงที่รู้สึกว่าเราได้ทุกสิ่งที่ต้องการจากคู่ของเรา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกนี้จะจางหายไป และเราก็จะกลับมาปรารถนาบางสิ่งที่มากขึ้นหรือต่างไปจากเดิม เป็นการแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ไม่เคยสมบูรณ์ของความปรารถนา 3. Desire and Fantasy (ความปรารถนาและจินตนาการ) Lacan มองว่าจินตนาการ (Fantasy) เป็นส่วนสำคัญในการสร้างและควบคุมความปรารถนา จินตนาการเป็นพื้นที่ที่เราปรุงแต่งความปรารถนาของเราผ่านภาพและสถานการณ์ที่เราตั้งขึ้นมาเอง ตัวอย่างเช่น ความปรารถนาที่จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จฃ หรือ การมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เป็นการปรุงแต่งขึ้นมาในจินตนาการของเรา ซึ่งมักจะแตกต่างจากความเป็นจริง ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น การที่เราวาดฝันว่าเราจะมีบ้านหลังใหญ่ รถยนต์หรู และครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เป็นจินตนาการที่บ่งบอกถึงความปรารถนาที่ไม่เคยถูกเติมเต็มอย่างแท้จริง สรุปสำหรับ Lacan แล้วความปรารถนาไม่ใช่สิ่งที่สามารถถูกเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ มันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเราตลอดชีวิตและเกิดจากการขาดแคลนในจิตใจ ความปรารถนาของเราเกิดขึ้นผ่านความสัมพันธ์กับผู้อื่นและภาษาที่เราใช้ ซึ่งทำให้มนุษย์คงอยู่ในสถานะของการแสวงหาตลอดเวลา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...