Jacques Lacan เป็นนักจิตวิเคราะห์ชาวฝรั่งเศสที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในศตวรรษที่ 20 โดยแนวคิดของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อการวิเคราะห์จิตใต้สำนึก ภาษา และโครงสร้างทางจิต Lacan เน้นให้เห็นความสำคัญของภาษาในกระบวนการพัฒนาจิต และทฤษฎีของเขาเชื่อมโยงกับทฤษฎีโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยมในทางปรัชญา
หนังสือและแนวคิดสำคัญของ Lacan ได้แก่
1. หนังสือ Écrits (1966)
หนังสือรวมบทความสำคัญของ Lacan ที่ครอบคลุมแนวคิดหลักๆ ของเขา เช่น กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ และโครงสร้างทางจิตวิทยาของมนุษย์ หนังสือเล่มนี้เน้นแนวคิดเรื่อง Mirror Stage (ขั้นกระจก) ซึ่งอธิบายว่ามนุษย์เริ่มรับรู้ตนเองผ่านการสะท้อนจากผู้อื่นในวัยเด็ก เป็นช่วงที่สำคัญในการพัฒนาอัตลักษณ์ส่วนตัวและสังคม
The Mirror Stage as Formative of the Function of the I (ขั้นกระจกกับการสร้างอัตลักษณ์) แนวคิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเข้าใจว่าเด็กเรียนรู้ที่จะรับรู้ตนเองผ่านการเห็นภาพสะท้อนของตนเองในกระจก และผ่านการยอมรับในสังคม แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับการสร้างอัตลักษณ์ของเราในสังคม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมคือ การเปรียบเทียบกับผู้คนรอบตัว ซึ่งเป็นที่มาของการสร้างอัตลักษณ์และความสัมพันธ์กับสังคม
The Agency of the Letter in the Unconscious (บทบาทของตัวอักษรในจิตไร้สำนึก) แนวคิดนี้พูดถึงการที่ภาษาเป็นระบบที่กำหนดและควบคุมจิตไร้สำนึกของเรา เขาเชื่อว่าภาษาไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการสื่อสาร แต่ยังเป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราสามารถคิดและรู้สึกได้ด้วย
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่เชื่อมโยง หากเรานึกถึงสถานการณ์ที่เด็กอายุประมาณ 1-2 ปีเห็นภาพสะท้อนตัวเองในกระจก แล้วเริ่มรู้สึกว่าตนเองเป็น "ฉัน" นี่คือกระบวนการที่ Lacan เรียกว่า Mirror Stage ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การมองเห็น แต่ยังเป็นกระบวนการในการกำหนดอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านการสะท้อนกลับจากภาพและจากผู้อื่น
2 . หนังสือThe Four Fundamental Concepts of Psychoanalysis (1978)
หนังสือเล่มนี้เป็นการบรรยายเชิงลึกเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐาน 4 ประการของ Lacan ได้แก่ The Unconscious (จิตไร้สำนึก) The Repetition (การทำซ้ำ) The Transference (การถ่ายโอน) The Drive (แรงขับ)
Lacan มองว่าเป็นพื้นฐานของจิตวิเคราะห์ ได้แก่:
1. The Unconscious (จิตไร้สำนึก) ซึ่ง Lacan ขยายความจาก Freud โดยเสนอว่าจิตไร้สำนึกนั้นถูกสร้างขึ้นผ่านภาษา และคำพูดที่เราใช้มีบทบาทสำคัญในการทำงานของจิตไร้สำนึก
2. The Repetition (การทำซ้ำ) โดยแนวคิดนี้หมายถึงวิธีที่ผู้คนมักทำซ้ำพฤติกรรมหรือประสบการณ์เดิมๆ ซึ่งเป็นผลมาจากจิตไร้สำนึก
3. The Transference (การถ่ายโอน) Lacan มองว่าการถ่ายโอนอารมณ์จากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลอื่นเกิดขึ้นในกระบวนการบำบัดจิตใจ โดยที่ผู้ป่วยอาจฉายภาพความรู้สึกและประสบการณ์จากอดีตไปยังนักจิตวิเคราะห์
4. The Drive (แรงขับ) Lacan ขยายความแนวคิดของแรงขับจาก Freud โดยมองว่าแรงขับมีลักษณะวนเวียนและไม่เคยถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในสถานการณ์ที่มีคนพบว่าตัวเองทำซ้ำพฤติกรรมเดิมๆในความสัมพันธ์ เช่น การดึงดูดคู่รักที่มีพฤติกรรมคล้ายกันกับคนในอดีต แนวคิดนี้อธิบายว่าเป็นการทำซ้ำที่เกิดขึ้นเพราะจิตไร้สำนึกยังไม่ได้แก้ไขปมปัญหาเดิม หรือการถ่ายโอนอารมณ์หรือความรู้สึกจากคนในอดีตไปยังนักบำบัดจิต (Transference) เป็นตัวอย่างชัดเจนของวิธีที่จิตไร้สำนึกทำงานผ่านภาษาและความสัมพันธ์
Lacan เน้นความสำคัญของ ภาษา (Language) ว่ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดและจัดโครงสร้างความรู้สึกและจิตใต้สำนึกของมนุษย์
3. หนังสือ The Seminar of Jacques Lacan เป็นชุดบรรยายของLacan ที่รวบรวมออกมาเป็นหลายเล่มที่ Lacan พูดถึงหัวข้อต่างๆ โดยเชื่อมโยงทฤษฎีจิตวิเคราะห์กับปรัชญา วรรณกรรม และสังคมศาสตร์ ตัวอย่างเล่มสำคัญในซีรีส์นี้คือ
3.1 หนังสือ The Seminar, Book XI: The Four Fundamental Concepts of Psychoanalysis เล่มนี้เป็นการเจาะลึกแนวคิดหลักเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์ เช่น จิตไร้สำนึก การถ่ายโอน และแรงขับ การวิเคราะห์ของ Lacan ในที่นี้มีการเชื่อมโยงจิตวิเคราะห์เข้ากับภาษาศาสตร์ วรรณกรรม และศิลปะ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น ในชีวิตประจำวัน การสังเกตว่าภาษาที่เราพูดมีผลต่อสิ่งที่เราคิดและรู้สึก อาจเห็นได้จากการที่คนเรามักจะมีปัญหาในการพูดถึงบางเรื่อง (เช่น ความกลัวหรือความวิตกกังวล) ซึ่งบ่งบอกถึงการทำงานของจิตไร้สำนึกที่ควบคุมผ่านภาษา
3.2 หนังสือ The Seminar, Book VII: The Ethics of Psychoanalysis เนื้อหาจองหนังสือเล่มนี้เป็นการบรรยายของ Lacan เกี่ยวกับจริยธรรมในจิตวิเคราะห์ซึ่งเขาตั้งคำถามถึงจริยธรรมของการแสวงหาความสุขและความพึงพอใจ เขาวิเคราะห์ผ่านกรอบทางจิตวิทยาและวรรณกรรม เช่น การใช้ตำนานเรื่องของโซฟีคลีส (“Sophocles“,“Antigone”) เพื่ออธิบายความขัดแย้งระหว่างกฎเกณฑ์ทางสังคมกับแรงขับทางจิตใจ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น การตัดสินใจที่ต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ "ถูกต้องตามกฎ" กับสิ่งที่ "ทำให้เกิดความสุขส่วนตัว" อาจเกิดขึ้นในหลายสถานการณ์ เช่น ในการทำงานหรือความสัมพันธ์ ซึ่ง Lacan ตั้งคำถามถึงจริยธรรมที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเหล่านี้
สำหรับแนวคิดหลักของ Lacan ที่เป็นที่รู้จักกันได้แก่
1. The Mirror Stage (ขั้นกระจก)
Lacan อธิบายว่าเด็กเริ่มตระหนักถึงอัตลักษณ์ของตนเองผ่านภาพสะท้อนในกระจก ซึ่งช่วยพัฒนาอัตลักษณ์ผ่านการเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาสังคมเพื่อสร้างตนเอง
2. The Symbolic, The Imaginary, and The Real (ระบบสัญลักษณ์ จินตภาพ และความจริง)
Lacan แบ่งโครงสร้างทางจิตออกเป็นสามระดับ ได้แก่
2.1 The Symbolic (สัญลักษณ์) ซึ่งเป็นโลกของภาษาและกฎระเบียบ
2.2 The Imaginary (จินตภาพ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพที่เราใช้ในการรับรู้ตนเองและโลก
2.3 The Real (ความจริง) คือสิ่งที่ไม่สามารถพูดถึงได้ หรือที่อยู่เหนือการแสดงออกทางภาษา
3. แนวคิดเรื่อง Desire (ความปรารถนา)
Lacan อธิบายว่า "ความปรารถนา" เป็นสิ่งที่ไม่สามารถถูกเติมเต็มได้โดยสิ้นเชิง และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในชีวิตมนุษย์ มันเกิดขึ้นจากการขาดบางสิ่งที่ไม่สามารถหามาทดแทนได้
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น การทำงานวิเคราะห์ทางจิตวิทยาที่ใช้แนวคิด Lacanian psychoanalysis มักจะเน้นการสำรวจจิตไร้สำนึกผ่านภาษาและความฝัน ซึ่งต่างจาก Freud ที่เน้นความหมายของสัญลักษณ์โดยตรง แนวคิดของ Lacan เชื่อว่าภาษาสร้างความเป็นจริงทางจิตและสะท้อนให้เห็นถึงจิตไร้สำนึก
อาจกล่าวได้ว่า ในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ Jacques Lacan นั้น แนวคิดเรื่อง “ความปรารถนา" (Desire) มีบทบาทสำคัญอย่างมาก และถือเป็นหนึ่งในแรงขับพื้นฐานที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมและอารมณ์ของมนุษย์ แนวคิดนี้ถูกพัฒนาและขยายความจากแนวคิดของ Sigmund Freud แต่ Lacan มีวิธีการมองความปรารถนาที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้น โดยเชื่อมโยงกับภาษาและโครงสร้างของจิตใจมนุษย์
ความปรารถนา (Desire) ในมุมมองของ Lacan มีลักษณะดังนี้
1. Desire is the Desire of the Other (ความปรารถนาของเราคือความปรารถนาของคนอื่น)
Lacan เชื่อว่าความปรารถนาของเราไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบปัจเจกหรือโดยตัวเราเอง แต่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์กับผู้อื่น เราอยากได้สิ่งที่ "คนอื่น" ปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นจากการมอง การเปรียบเทียบ หรือการถูกสร้างผ่านสังคมและภาษา ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในชีวิตจริง เช่น การที่เราปรารถนาหรือมีความต้องการด้าน สถานะทางสังคม หรือสิ่งของที่คนอื่นมี เพราะเราเห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านั้นจากสังคม ไม่ใช่เพราะสิ่งนั้นมีความสำคัญในตัวเอง
2. Desire and Lack (ความปรารถนาและการขาด)
Lacan อธิบายว่า ความปรารถนาเกิดจากการขาดบางสิ่งบางอย่างในจิตใจของเรา ซึ่งไม่สามารถเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นความรัก การยอมรับ หรือความสมบูรณ์แบบ มนุษย์จึงคงความปรารถนาไว้ตลอดเวลา และมันเป็นการขับเคลื่อนชีวิต ตัวอย่างเช่น ความปรารถนาทางความสัมพันธ์ เมื่อเราคิดว่าเราขาดบางสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสมบูรณ์ในความสัมพันธ์ เช่น ความรักที่ไม่เพียงพอ หรือการต้องการการยอมรับจากคนที่เรารัก
3. The Role of Language (บทบาทของภาษา)
Lacan เน้นว่าภาษาเป็นตัวกำหนดโครงสร้างของความปรารถนา มนุษย์ใช้ภาษาในการแสดงออกถึงความปรารถนา แต่ความปรารถนาเหล่านั้นมักจะไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างสมบูรณ์ เรามักจะ "ต้องการบางสิ่ง" แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า "บางสิ่ง" นั้นคืออะไร นี่เป็นเพราะความซับซ้อนของจิตไร้สำนึกและการขาดแคลนที่ภาษาไม่สามารถแสดงออกได้ทั้งหมด ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น การแสวงหาความสุขในชีวิต ที่เราอาจไม่สามารถระบุได้ว่าอะไรคือความสุขสูงสุด แต่เราก็ยังคงแสวงหามันอยู่เสมอ
4. Object a (Objet petit a)
แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีแรงขับของ Lacan โดย "Object a" หมายถึงวัตถุที่เราแสวงหาที่เป็นตัวแทนของความปรารถนาที่ไม่สามารถเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ มันเป็นสิ่งที่เราแสวงหาเพราะเรารู้สึกขาดอยู่เสมอ แต่เราก็ไม่สามารถบรรลุหรือครอบครองมันได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น การแสวงหาความรักที่สมบูรณ์แบบ เราอาจมองว่าคู่รักหนึ่งคือการเติมเต็มความปรารถนาของเรา แต่เมื่อได้มาแล้ว เรากลับพบว่ามันยังมีสิ่งที่ขาดหายอยู่เสมอ ทำให้เรายังคงแสวงหาความสมบูรณ์แบบในความสัมพันธ์ต่อไป
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในงานของ Lacan ที่จะเชื่อมโยงแนวคิดของเขาให้สมบูรณ์ เช่น
1. ความปรารถนาและกระจก (The Mirror Stage)
Lacan อธิบายว่าใน ”ขั้นกระจก" (Mirror Stage) เด็กจะเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก และเริ่มสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านการรับรู้ว่าตัวเองเป็น "ฉัน" แต่การรับรู้นี้จะไม่ได้สมบูรณ์ เนื่องจากสิ่งที่เด็กเห็นเป็นเพียง "ภาพสะท้อน" ที่ไม่สมบูรณ์ของตัวเอง ความปรารถนาจึงเกิดขึ้นจากการที่เด็กอยากจะ "เป็น" ตัวตนที่สมบูรณ์แบบตามที่ตนเองเห็นในกระจก แต่ไม่สามารถบรรลุได้
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในชีวิตประจำวันเรามักจะรู้สึกว่าเราต้องปรับปรุงตัวเองหรืออยากจะเป็นคนอื่นที่ "สมบูรณ์แบบ" มากขึ้น เช่น การเปรียบเทียบตัวเองกับคนดังในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ไม่ใช่ความจริงเต็มๆ แต่เราก็ปรารถนาที่จะเป็นเหมือนเขา
2. การปรารถนาในความสัมพันธ์ (Desire in Relationships)
Lacan อธิบายว่าความปรารถนาในความสัมพันธ์มักจะเกิดขึ้นจาก ”การขาด“ (Lack) ที่เรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้รับจากอีกฝ่าย ตัวอย่างเช่น เมื่อคนคนหนึ่งปรารถนาความรักจากอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนเอง "สมบูรณ์" แต่ความรู้สึกนี้เป็นเพียงชั่วคราว เพราะความปรารถนาของเรามักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในความสัมพันธ์โรแมนติก เราอาจมีช่วงที่รู้สึกว่าเราได้ทุกสิ่งที่ต้องการจากคู่ของเรา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกนี้จะจางหายไป และเราก็จะกลับมาปรารถนาบางสิ่งที่มากขึ้นหรือต่างไปจากเดิม เป็นการแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ไม่เคยสมบูรณ์ของความปรารถนา
3. Desire and Fantasy (ความปรารถนาและจินตนาการ)
Lacan มองว่าจินตนาการ (Fantasy) เป็นส่วนสำคัญในการสร้างและควบคุมความปรารถนา จินตนาการเป็นพื้นที่ที่เราปรุงแต่งความปรารถนาของเราผ่านภาพและสถานการณ์ที่เราตั้งขึ้นมาเอง ตัวอย่างเช่น ความปรารถนาที่จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จฃ หรือ การมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เป็นการปรุงแต่งขึ้นมาในจินตนาการของเรา ซึ่งมักจะแตกต่างจากความเป็นจริง
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น การที่เราวาดฝันว่าเราจะมีบ้านหลังใหญ่ รถยนต์หรู และครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เป็นจินตนาการที่บ่งบอกถึงความปรารถนาที่ไม่เคยถูกเติมเต็มอย่างแท้จริง
สรุปสำหรับ Lacan แล้วความปรารถนาไม่ใช่สิ่งที่สามารถถูกเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์ มันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเราตลอดชีวิตและเกิดจากการขาดแคลนในจิตใจ ความปรารถนาของเราเกิดขึ้นผ่านความสัมพันธ์กับผู้อื่นและภาษาที่เราใช้ ซึ่งทำให้มนุษย์คงอยู่ในสถานะของการแสวงหาตลอดเวลา
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น