ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ของขวัญแห่งความตาย มุมุมองของ Jacques Derrida โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือเรื่อง Gift of The death ของ Jaques Derrida ถือเป็นหนังสือที่สำรวจแนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับความตาย, ศีลธรรม, ความรับผิดชอบ และความลึกลับ (mystery) โดย Derrida อ้างอิงและวิเคราะห์จากผลงานของนักคิดคนก่อนหน้า เช่น Søren Kierkegaard และ Martin Heidegger โดยเขามุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา, ความรับผิดชอบทางศีลธรรม, และสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นหรือเข้าใจได้ (the invisible and unknowable). สาระสำคัญของหนังสือ "The Gift of Death ประกอบด้วย 1. ความรับผิดชอบต่อสิ่งที่มองไม่เห็น (Responsibility and the Unknowable) Derrida เสนอว่าความรับผิดชอบที่แท้จริงคือการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับ "ของขวัญแห่งความตาย" ความตายคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงและไม่อาจเข้าใจได้อย่างเต็มที่ แต่ยังเป็นสิ่งที่กำหนดความหมายของการมีชีวิตอยู่ การเผชิญหน้ากับความตายจึงเป็นการเผชิญกับความลึกลับที่มองไม่เห็น แต่ก็เป็นภาระหน้าที่ทางศีลธรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 2. ศีลธรรมและความลึกลับ (Ethics and Mystery) Derrida ใช้แนวคิดจาก Kierkegaard ในกรณีของ Abraham ที่ยอมเสียสละลูกชาย Isaac ตามคำสั่งของพระเจ้า แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะดูขัดกับศีลธรรมสาธารณะ แต่มันเป็นตัวอย่างของการรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาและความเชื่อในสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ การตัดสินใจของ Abraham นั้นเป็น "ของขวัญแห่งความลึกลับ" เพราะมันไม่สามารถอธิบายหรือเข้าใจได้ด้วยเหตุผลธรรมดา 3. การให้และการเสียสละ (Giving and Sacrifice) Derrida กล่าวถึงแนวคิดของการให้และการเสียสละในบริบทของศาสนาและความศรัทธา การให้ที่แท้จริงนั้นคือการให้โดยไม่มีการคาดหวังผลตอบแทน เช่นเดียวกับความตายที่เป็นของขวัญซึ่งไม่สามารถได้รับสิ่งใดกลับคืน การเสียสละในบริบทของศีลธรรมและศาสนาจึงเป็นการกระทำที่อยู่เหนือความคาดหวังทางโลก แนวคิดสำคัญในหนังสือ 1. ความรับผิดชอบทางศีลธรรมในบริบทของศาสนา Derrida สนใจการเชื่อมโยงระหว่างความเชื่อทางศาสนากับความรับผิดชอบทางศีลธรรม โดยเขาเน้นให้เห็นว่าการตัดสินใจทางศีลธรรมที่แท้จริงมักเกี่ยวข้องกับการเผชิญกับสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ 2. ความเป็นปัจเจกและความรับผิดชอบต่อผู้อื่น เขาชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความรับผิดชอบต่อผู้อื่น (the Other) และความรับผิดชอบที่เป็นส่วนตัว การให้ความหมายแก่ความรับผิดชอบเป็นกระบวนการที่มักขัดแย้งกันเอง เพราะเมื่อเราเลือกที่จะรับผิดชอบต่อใครบางคน เราอาจละเลยต่อผู้อื่น 3. การเสียสละ (Sacrifice) และความหมายของการให้ Derrida เชื่อมโยงการให้และการเสียสละกับแนวคิดของของขวัญแห่งความตาย การให้ที่แท้จริงคือการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน และการเสียสละเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำนี้ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ 1. Abraham และ Isaac โดย Derrida ใช้เรื่องราวของ Abraham ในการยอมเสียสละลูกชายเพื่อพระเจ้า แม้ว่าการกระทำนี้จะขัดแย้งกับกฎทางศีลธรรมของมนุษย์ การตัดสินใจของ Abraham ถือเป็นการให้ที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล แต่เป็นของขวัญที่เต็มไปด้วยความลึกลับ การกระทำของ Abraham จึงเป็นตัวอย่างของการรับผิดชอบที่ไม่สามารถเข้าใจหรือพยากรณ์ได้ 2. ความตายในฐานะของขวัญ (Death as a Gift) Derrida แสดงให้เห็นว่าความตายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงและไม่อาจเข้าใจได้เต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นของขวัญ เพราะมันทำให้มนุษย์ตระหนักถึงขอบเขตและความสำคัญของการใช้ชีวิตและการรับผิดชอบต่อผู้อื่น 3. การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่ง Derrida อ้างถึงการให้ในรูปแบบของความเสียสละทางศีลธรรมที่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เช่น การบริจาคเพื่อการกุศล หรือการกระทำความดีที่ไม่ได้มุ่งหวังความดีตอบกลับ การให้เช่นนี้เป็นตัวอย่างของการเสียสละที่เต็มไปด้วยความหมายทางศีลธรรมและเป็นการเผชิญหน้ากับความรับผิดชอบที่เหนือกว่าผลประโยชน์ทางวัตถุ หนังสือ "The Gift of Death" ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของความรับผิดชอบทางศีลธรรม ความเชื่อทางศาสนา และการเสียสละ ซึ่งล้วนแต่เชื่อมโยงกับการให้และการเผชิญหน้ากับความตาย ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่เชื่อมโยงแนวคิดจาก The Gift of Death ของ Jacques Derrida กับบริบทในปัจจุบัน มีดังนี้ 1. การเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงวิกฤต COVID-19 ในช่วงการระบาดของ COVID-19 บุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก เช่น แพทย์ พยาบาล และผู้ช่วย ได้ทำงานหนักเพื่อดูแลผู้ป่วย แม้ว่าการทำงานนั้นจะมีความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพและชีวิตของพวกเขาเอง หลายคนต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ของการเสียชีวิต แต่ก็ยังคงทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ การเสียสละนี้เป็นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนที่ชัดเจน พวกเขาทำด้วยจิตสำนึกของความรับผิดชอบต่อผู้อื่น ซึ่งเป็นการให้ในรูปแบบที่เต็มไปด้วยความหมายทางศีลธรรมและเชื่อมโยงกับแนวคิดของ Derrida ว่าด้วยการให้ที่ไม่สามารถคาดหวังผลตอบแทน 2. การทำงานเพื่อสังคมขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) ในปัจจุบัน มีองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจำนวนมากที่ทำงานเพื่อแก้ปัญหาสังคม เช่น การบรรเทาความยากจน การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน หรือการดูแลสิ่งแวดล้อม คนที่ทำงานในองค์กรเหล่านี้มักทำด้วยความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมโดยรวม การเสียสละเวลาหรือทรัพยากรส่วนตัวเพื่อทำงานเหล่านี้สะท้อนถึงการให้ที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์ส่วนตัวหรือความสำเร็จทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการให้ที่มาจากความรับผิดชอบและความเชื่อในคุณค่าทางศีลธรรมของการช่วยเหลือผู้อื่น 3. การเสียสละของครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ ในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเอเชีย ครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุหรือคนที่ป่วยหนัก การดูแลคนที่รักในช่วงสุดท้ายของชีวิตนั้นอาจจะไม่ได้มีผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม แต่เป็นการกระทำที่มาจากความรับผิดชอบต่อครอบครัวและความผูกพันทางจิตใจ การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยในสภาวะที่ต้องเผชิญกับความตาย สะท้อนถึงความรับผิดชอบที่ลึกซึ้งและการให้ที่ไม่สามารถตีความหรือคำนวณด้วยผลตอบแทนทางวัตถุได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Derrida ว่าด้วยการเสียสละและการเผชิญหน้ากับความตายที่ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ 4. การสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมโดยไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว* กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก เช่น กลุ่ม *ฃExtinction Rebellion หรือ **Greta Thunberg และผู้สนับสนุนเยาวชนที่ประท้วงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มักจะต่อสู้เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้ว่าอาจจะไม่เห็นผลในช่วงชีวิตของพวกเขาเอง การกระทำนี้เป็นการให้และการเสียสละเพื่ออนาคตของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนและความลึกลับของอนาคต การกระทำดังกล่าวแสดงถึงความรับผิดชอบที่เกินกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้า สอดคล้องกับแนวคิดของ Derrida ในการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน 5. การบริจาคอวัยวะ ในปัจจุบัน การบริจาคอวัยวะเป็นการให้ที่สะท้อนแนวคิดของ Derrida อย่างชัดเจน การบริจาคอวัยวะมักจะเกิดขึ้นเมื่อผู้บริจาคเสียชีวิต และไม่มีผลตอบแทนใดๆ ที่ผู้บริจาคจะได้รับ การให้เช่นนี้เป็นการเสียสละที่เกินกว่าชีวิตของตนเอง เพื่อช่วยชีวิตหรือสุขภาพของผู้อื่น มันเป็นของขวัญที่มาจากความรับผิดชอบทางศีลธรรมและความเห็นใจต่อความทุกข์ของผู้อื่น โดยที่ไม่สามารถคาดหวังผลตอบแทนในรูปแบบใดๆ 6. การต่อสู้เพื่อสิทธิทางสังคมของกลุ่ม LGBTQ+ ในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ บางครั้งนำพาความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและชีวิตของนักเคลื่อนไหว กลุ่มคนเหล่านี้เสียสละความปลอดภัยและความสบายใจส่วนตัวเพื่อความยุติธรรมและสิทธิเท่าเทียมสำหรับคนอื่นๆ การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนแบบนี้เป็นการให้และการเสียสละที่มาจากความรับผิดชอบต่อสังคม แม้ว่าผลตอบแทนอาจไม่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาเอง แต่พวกเขาก็ยังคงต่อสู้เพื่อคนรุ่นถัดไป ซึ่งตรงกับแนวคิดของ Derrida ในการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนทางวัตถุหรือส่วนตัว ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการให้และการเสียสละที่เชื่อมโยงกับแนวคิดของ Jacques Derrida ในเรื่อง The Gift of Death โดยเฉพาะในแง่ของการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน และการเผชิญหน้ากับความลึกลับของความตาย ความรับผิดชอบ และความเป็นอื่น (the Other)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...