ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Jacques Derrida กับทฤษฎีที่ว่าด้วยการรื้อสร้าง (Deconstruction) โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Jacques Derrida เป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในด้านการพัฒนาทฤษฎีที่ว่าด้วยการรื้อสร้าง (Deconstruction) ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์และทำลายโครงสร้างความคิดดั้งเดิมที่ใช้กันในภาษา ปรัชญา และวัฒนธรรม แนวคิดของเขามักถูกนำไปใช้ในหลายสาขาวิชา เช่น วรรณกรรม ปรัชญา การเมือง และสังคมวิทยา ต่อไปนี้คือตัวอย่างหนังสือสำคัญ แนวคิดและสาระสำคัญของ Derrida พร้อมตัวอย่างเชิงรูปธรรม: 1. หนังสือ Of Grammatology" (1967) สาระสำคัญของหนังสือ "Of Grammatology" ถือเป็นหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดของ Derrida ซึ่งเขาได้พัฒนา แนวคิดการรื้อสร้าง (Deconstruction) เป็นการตั้งคำถามต่อโครงสร้างภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารและให้ความหมาย Derrida ตั้งข้อสังเกตว่า ภาษาไม่ใช่ระบบที่เสถียร เพราะความหมายของคำหนึ่ง ๆ มักขึ้นอยู่กับคำอื่น ๆ และไม่มีความหมายที่ตายตัว เขาวิจารณ์ว่าปรัชญาตะวันตกมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับการเขียนหรือการแสดงออกมากกว่าภาษาที่เป็นสัญลักษณ์ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจเช่น ในการวิเคราะห์วรรณกรรม นักวิเคราะห์ที่ใช้แนวคิด Deconstruction ของ Derrida จะทำการ "รื้อสร้าง" ความหมายของข้อความ โดยการชี้ให้เห็นว่าความหมายของคำหรือประโยคหนึ่งไม่สามารถตีความได้อย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาถึงบริบทและความหมายที่เกี่ยวข้องกับคำอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ข้อความจากวรรณกรรมคลาสสิกอาจแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนแฝงความหมายหลายชั้นที่ต้องตีความจากหลายแง่มุม
2. หนังสือ Writing and Difference (1967) สาระสำคัญในหนังสือ Writing and Difference ของ Derrida เขาได้ทำการสำรวจการเขียนและความสัมพันธ์ระหว่างการเขียนกับการพูด เขาวิพากษ์แนวคิดของปรัชญาตะวันตกที่มักให้คุณค่ากับการพูดมากกว่าการเขียน โดยอ้างว่าการเขียนเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่รองจากการพูด Derrida แสดงให้เห็นว่าการเขียนเองมีความหมายสำคัญในฐานะที่มันสร้างความแตกต่างและความไม่แน่นอนในภาษา และในบางครั้งการเขียนก็สามารถสร้างความหมายที่ซับซ้อนกว่าการพูดได้ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในบริบทของวรรณกรรม เมื่อเราพิจารณาการใช้ภาษาในการเขียนนวนิยายหรือบทกวี เราอาจพบว่าผู้เขียนใช้คำที่สามารถตีความได้หลายแบบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเขียนไม่ได้เป็นเพียงการบันทึกคำพูด แต่สามารถสร้างความหมายที่แตกต่างออกไปจากการพูดอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น การใช้คำว่า "บ้าน" ในวรรณกรรม อาจไม่เพียงหมายถึงสถานที่อยู่อาศัย แต่ยังสื่อถึงความรู้สึกปลอดภัย ความทรงจำ หรือแม้กระทั่งการสูญเสีย
3. Speech and Phenomena (1967) สาระสำคัญในหนังสือเรื่อง Speech and Phenomena นั้น Derrida วิเคราะห์แนวคิดของ ฃEdmund Husserl ซึ่งเป็นนักปรัชญาเชิงปรากฏการณ์วิทยา Derrida วิพากษ์การให้คุณค่ากับ "การพูด" ซึ่ง Husserl มองว่าเป็นวิธีที่ตรงที่สุดในการแสดงออกถึงความหมายของสิ่งต่าง ๆ Derrida โต้แย้งว่าการพูดไม่ได้ให้ความหมายที่ชัดเจนเสมอไป และมีความไม่แน่นอนเช่นเดียวกับการเขียน เขาแสดงให้เห็นว่าไม่มีวิธีการใดที่สามารถสื่อความหมายได้อย่างแน่นอนและไม่เปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เมื่อคนเราพูดคุยกัน ความหมายของสิ่งที่พูดออกมาอาจถูกตีความผิดจากบริบทหรือวิธีการที่ผู้ฟังรับสาร ตัวอย่างเช่น เมื่อคนหนึ่งพูดว่า "วันนี้อากาศดี" ความหมายอาจแตกต่างกันไปตามสถานการณ์หรืออารมณ์ของผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Derrida ที่ว่าการพูดไม่สามารถส่งผ่านความหมายที่ชัดเจนได้เสมอ
4. หนังสือ Margins of Philosophy (1972) ในหนังสือ Margins of Philosophy นั้น Derrida ขยายแนวคิดการรื้อสร้างไปยังบทวิจารณ์ปรัชญาตะวันตก โดยเฉพาะแนวคิดของความจริงและความหมาย เขาแสดงให้เห็นว่าปรัชญาตะวันตกมักมองความจริงเป็นสิ่งที่เสถียรและไม่เปลี่ยนแปลง แต่ Derrida โต้แย้งว่าความหมายไม่เคยเสถียรและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับบริบทและวิธีการที่ใช้ในการสื่อสาร นอกจากนี้ เขายังแสดงให้เห็นว่า "ขอบ" หรือ "ส่วนที่ไม่ได้ถูกพิจารณา" ของความคิดนั้นมีความสำคัญเท่ากับส่วนที่ถูกนำเสนออย่างเด่นชัด ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น ในการศึกษาเรื่องการเมืองหรือประวัติศาสตร์ การวิเคราะห์เชิงรื้อสร้างอาจชี้ให้เห็นว่าบางแง่มุมที่ถูกละเลยหรือตัดออกจากการเล่าเรื่องนั้นสำคัญพอ ๆ กับสิ่งที่ถูกกล่าวถึง ตัวอย่างเช่น การเล่าเรื่องประวัติศาสตร์มักให้ความสำคัญกับบุคคลสำคัญ เช่น ผู้นำหรือกษัตริย์ แต่ละเลยบทบาทของประชาชนทั่วไปหรือชนกลุ่มน้อย ซึ่งการศึกษาเชิงรื้อสร้างจะพิจารณาถึงส่วนที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงเหล่านี้เพื่อเข้าใจประวัติศาสตร์ในมุมมองที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
5. หนังสือ Dissemination (1972) สาระสำคัญในหนังสือเรื่อง Dissemination ของ Derrida เขาได้ขยายแนวคิดการรื้อสร้างโดยมุ่งเน้นไปที่การแพร่กระจายของความหมายในภาษา เขาอธิบายว่าความหมายในข้อความไม่เคยสามารถถูกจับไว้ได้อย่างแน่นอน เพราะมันแพร่กระจายและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามบริบทที่ถูกนำเสนอและตีความ Derrida ใช้คำว่า **dissemination** เพื่ออธิบายถึงการที่ความหมายไม่เคยมีที่สิ้นสุด แต่จะถูก "กระจาย" ไปในทิศทางต่าง ๆ เสมอ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น ในการอ่านหนังสือหรืองานเขียนใด ๆ เรามักพบว่าความหมายของคำหรือประโยคหนึ่ง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของผู้เขียนและผู้อ่าน ตัวอย่างเช่น คำว่า "เสรีภาพ" อาจถูกตีความแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมและสถานการณ์ที่ต่างกัน ในบางบริบทมันอาจหมายถึงการปลดปล่อยจากการกดขี่ แต่ในบริบทอื่นอาจหมายถึงสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง นี่คือตัวอย่างของการแพร่กระจายของความหมายตามแนวคิดของ Derrida
สรุป แนวคิดของ Jacques Derrida โดยเฉพาะ การรื้อสร้าง (Deconstruction)เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความหมายที่ตายตัวและเสถียรในภาษาและปรัชญา Derrida ชี้ให้เห็นว่าความหมายของคำและแนวคิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับบริบทและสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในการนำแนวคิดของเขาไปใช้สามารถเห็นได้ในหลายสาขา เช่น การวิเคราะห์วรรณกรรม การตีความประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างรูปธรรมอื่นๆ ที่สะท้อนแนวคิดของ Jacques Derrida และการนำแนวคิดการรื้อสร้าง (Deconstruction)ที่ลองนำไปประยุกต์ใช้ในสาขาต่าง ๆในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม 1. การรื้อสร้างในงานสถาปัตยกรรม ตัวอย่างรูปธรรมของแนวคิด Deconstructivist Architecture ที่เชื่อมโยงกับการรื้อสร้างในสถาปัตยกรรมเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 สถาปนิกหลายคน เช่น Frank Gehry และ *Zaha Hadid ได้นำแนวคิดของ Derrida มาใช้ในการออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ใช่เพียงการทำตามกฎระเบียบเดิมๆ ของสถาปัตยกรรม แต่ยังท้าทายและรื้อโครงสร้างเดิมให้มีความไม่แน่นอนและอิสระ การออกแบบของ Gehry เช่น พิพิธภัณฑ์ Guggenheim ในบิลเบา มีลักษณะเหมือนจะไม่มั่นคงและบิดเบี้ยว ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมเดิมๆ 2. การรื้อสร้างในวรรณกรรมและการวิเคราะห์ข้อความหรือตัวText ตัวอย่างรูปธรรมในงานวิเคราะห์วรรณกรรม การใช้แนวคิดการรื้อสร้างสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อความคลาสสิก ตัวอย่างเช่น การตีความงานของ เชคสเปียร์เช่น “แฮมเล็ต" ผ่านการรื้อสร้าง อาจชี้ให้เห็นว่าตัวละครแฮมเล็ตที่มีความสับสนทางจิตใจนั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยโครงสร้างของเรื่องเท่านั้น แต่ยังสามารถถูกตีความตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่แปรเปลี่ยน เช่น การตั้งคำถามถึงบทบาทของความบ้าหรือความบาดเจ็บทางจิตใจในสังคมสมัยใหม่ 3. การรื้อสร้างในกฎหมาย ตัวอย่างรูปธรรม แนวคิดของ Derrida และการใช้แแนวคิดการรื้อสร้างในการวิเคราะห์กฎหมาย โดยตั้งคำถามถึงความยุติธรรมและอำนาจที่กฎหมายมีเหนือสังคม เขาอธิบายว่ากฎหมายมักสร้างความหมายในลักษณะของการใช้อำนาจและการบังคับใช้กฎหมายที่อาจไม่ยุติธรรมในบางบริบท ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์เรื่องการเหยียดผิวในระบบกฎหมายอเมริกา กฎหมายเกี่ยวกับการแบ่งแยกเชื้อชาติในอดีต เช่น กฎหมาย Jim Crow ที่อ้างว่าให้ความเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงกลับสร้างความไม่เท่าเทียมและการกดขี่ 4. การรื้อสร้างในปรัชญาการศึกษา ตัววอย่างรูปธรรม เช่น การศึกษาแบบเดิมมักให้ความสำคัญกับความรู้ที่ถูกต้องและการเรียนรู้ตามโครงสร้างของหลักสูตร แต่แนวคิดของ Derrida สามารถนำมาใช้เพื่อท้าทายโครงสร้างของการศึกษาและเสนอวิธีการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตีความความรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น การศึกษาวรรณกรรม ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการให้คำตอบที่ถูกต้องในการตีความ แต่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ตั้งคำถามถึงความหมายของข้อความในหลายแง่มุม ซึ่งส่งผลให้เกิดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์มากขึ้น 5. การรื้อสร้างในสื่อและการโฆษณา ตัวอย่างรูปธรรม เช่น การรื้อสร้างในงานโฆษณาและการตลาด สามารถเห็นได้จากการที่สื่อโฆษณาบางชิ้นพยายามรื้อสร้างความหมายของแบรนด์ที่ตนเองสร้างขึ้น ตัวอย่างเช่น Benetton ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้าระดับโลกที่มักใช้โฆษณาทางสังคมที่มีลักษณะท้าทายแนวคิดเดิมๆ เกี่ยวกับความงาม สีผิว และความหลากหลายทางเพศ โฆษณาของ Benetton ชุดหนึ่งใช้ภาพผู้คนจากเชื้อชาติและวัฒนธรรมต่าง ๆ มาแสดงร่วมกัน ซึ่งเป็นการรื้อสร้างแนวคิดเรื่องความสวยงามในอุดมคติที่มักจะถูกกำหนดโดยเชื้อชาติหนึ่งหรือวัฒนธรรมหนึ่ง 6. การรื้อสร้างในบริบทการเมือง ตัวอย่างรูปธรรมแนวคิดของ Derrida ถูกนำมาใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง เช่น การใช้ Deconstruction ในการวิเคราะห์คำปราศรัยทางการเมือง ตัวอย่างเช่น การปราศรัยของผู้นำที่อ้างถึง "ความยุติธรรม" หรือ "ความเสมอภาค" อาจถูก Derrida วิเคราะห์ว่าเป็นการใช้อำนาจเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งคำเหล่านี้ไม่มีความหมายที่ชัดเจนและแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ปราศรัยและผู้ฟังจะตีความอย่างไร เช่น คำว่า "เสรีภาพ" ในบริบททางการเมืองของสหรัฐอเมริกาอาจถูกตีความได้ทั้งในแง่ของเสรีภาพส่วนบุคคลและการปกป้องสิทธิเสรีภาพของชาติ ซึ่งทั้งสองความหมายนั้นไม่ได้สอดคล้องกันเสมอไป 7. การรื้อสร้างในแฟชั่นและวัฒนธรรมป๊อป ตัวอย่างรูปธรรม ผ่านการรื้อสร้างแนวคิดเรื่องความงามและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมปรากฏในวงการแฟชั่น ตัวอย่างเช่น ดีไซเนอร์ Vivienne Westwood ได้นำแนวคิด Deconstruction มาใช้ในแฟชั่น โดยการออกแบบเสื้อผ้าที่ดูเหมือนถูกทำลายหรือเย็บแบบไม่เรียบร้อย เป็นการท้าทายมาตรฐานของความสวยงามในแฟชั่นแบบดั้งเดิม ซึ่งมักเน้นที่ความสมบูรณ์แบบและความเรียบร้อย ผลงานเหล่านี้สะท้อนถึงแนวคิดของ Derrida ที่ว่า ความหมายของสิ่งต่าง ๆ ไม่เคยเสถียรและสามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สรุป แนวคิดการ รื้อสร้าง (Deconstruction) ของ Jacques Derrida มีความยืดหยุ่นและถูกนำไปใช้ในหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ วรรณกรรม กฎหมาย การเมือง หรือสื่อ โดยทั้งหมดนี้มีเป้าหมายในการตั้งคำถามถึงความหมายและโครงสร้างที่ถูกมองว่าเป็นที่ยอมรับในสังคมที่มีความน่าสนใจและท้าทายยิ่ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...