ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หนังสือ The Golden Bough: A Study in Comparative Religion โดย Sir James George Frazer

ถือเป็นผลงานคลาสสิกในการศึกษาตำนานและศาสนา โดย Frazer มุ่งเน้นการศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อ พิธีกรรม และตำนานในสังคมต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจความเชื่อมโยงของความเชื่อทั่วโลก หนังสือเล่มนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะรากฐานสำคัญของมานุษยวิทยาและศึกษาศาสนา คำว่า Golden Bough มาจากตำนานโรมันโบราณ โดยเฉพาะจากเรื่องราวของ Aeneas ใน Aeneid of Virgil ซึ่งเป็นมหากาพย์โรมันที่เล่าเรื่องการเดินทางของฮีโร่โรมันในตำนาน โดย Aeneas ต้องเดินทางไปยังโลกใต้ดิน (Underworld) เพื่อติดต่อกับวิญญาณของบิดา โดยเขาต้องค้นหาสายทองคำ (golden bough) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยให้เขาได้รับอนุญาตจากเทพเจ้าแห่งโลกใต้ดินให้เข้าไปยังพื้นที่ที่ต้องการ โดยสายทองคำนี้มีความสำคัญเพราะมันเป็นตัวแทนของการเข้าถึงและการเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณ และทำให้ Aeneas สามารถบรรลุภารกิจของเขาได้ ซึ่ง James George Frazer เขาใช้คำว่า "Golden Bough" เป็นชื่อหนังสือของเขาเพื่อแสดงถึงความสำคัญของต้นไม้ ตำนานและพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เขาศึกษา ดังคำว่านั้นคำว่า "Golden Bough" จึงมีความหมายลึกซึ้งที่เชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนาและตำนานโบราณที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง การติดต่อกับโลกวิญญาณ และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูและความอุดมสมบูรณ์ สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีดังนี้ 1.ความต่อเนื่องของตำนาน ศาสนา และวิทยาศาสตร์ Frazer เสนอว่า มนุษย์พัฒนาการทำความเข้าใจโลกผ่านสามขั้นตอน คือ เวทมนตร์ (magic) ศาสนา (religion) และวิทยาศาสตร์ (science) โดยแต่ละขั้นตอนเป็นการพยายามควบคุมธรรมชาติและเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของมนุษย์ เวทมนตร์ถูกใช้เมื่อมนุษย์พยายามจัดการกับโลกโดยตรง เมื่อเวทมนตร์ล้มเหลว ศาสนาก็เข้ามาแทนที่เพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้า และเมื่อศาสนาไม่สามารถตอบคำถามได้ วิทยาศาสตร์ก็เข้ามาแทนที่ในที่สุด 2. ตำนานของกษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์และความตายของพืชพรรณ Frazer เชื่อว่าตำนานของกษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์หรือกษัตริย์แห่งเทพเจ้า (sacred kingship) ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งพืชผลและธรรมชาติ เป็นแก่นสำคัญในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก กษัตริย์มักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดิน และเมื่อตัวกษัตริย์แก่ชราหรืออ่อนแอ ก็มักถูกฆ่าหรือถูกสละ เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูและนำพาความเจริญรุ่งเรืองกลับมา 3. พิธีกรรมและตำนานที่เกี่ยวข้องกับความตายและการเกิดใหม่ Frazer แสดงให้เห็นถึงการเปรียบเทียบพิธีกรรมและตำนานจากวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดและการตายของเทพเจ้า เช่น ตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าที่ตายและฟื้นขึ้นมาใหม่ (dying-and-rising god) เช่น เทพเจ้า Osiris ในอียิปต์ และ Adonis ในตำนานกรีก ซึ่งแสดงถึงความตายและการเกิดใหม่ของธรรมชาติ และเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล 4.การเชื่อมโยงระหว่างตำนานและพิธีกรรม Frazer สำรวจว่าพิธีกรรมหลายอย่างมีรากฐานมาจากตำนานและความเชื่อทางศาสนา เขาเน้นว่าพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบูชาธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์มักมีวัตถุประสงค์ในการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองให้กับชุมชน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือที่น่าสนใจมีมากมาย ด้วยจำนวนหน้าของหนังสือ 600 กว่าหน้า จำนวน 69 บท ตำนานที่น่าสนใจอาทิเช่น 1. ตำนานของกษัตริย์แห่งป่าศักดิ์สิทธิ์ (The King of the Sacred Wood) หนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่ Frazer กล่าวถึงในหนังสือคือ *ตำนานกษัตริย์แห่งป่าศักดิ์สิทธิ์* ที่เมือง Nemi ในอิตาลี กษัตริย์ซึ่งเป็นนักบวชของเทพี Diana จะถูกท้าทายโดยผู้สืบทอด และเมื่อเขาถูกฆ่าโดยผู้ท้าชิงใหม่ ความตายของกษัตริย์เก่าจะเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการต่ออายุของธรรมชาติ เรื่องราวนี้แสดงถึงความเชื่อในความตายและการเกิดใหม่ของธรรมชาติ ซึ่งเป็นแก่นเรื่องในตำนานหลายวัฒนธรรม 2. ตำนานของ Osiris Frazer กล่าวถึงตำนานของ Osiris เทพเจ้าแห่งความตายและการเกิดใหม่ในอียิปต์ Osiris ถูกพี่ชายของเขา Seth ฆ่าและร่างของเขาถูกตัดออกเป็นชิ้น ๆ แต่ในที่สุดเขาถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพโดย Isis ภรรยาของเขา ตำนานนี้สะท้อนถึงวงจรของการตายและการเกิดใหม่ของพืชและการฟื้นฟูธรรมชาติในฤดูใบไม้ผลิ 3. พิธีกรรมของ Adonis Frazer เปรียบเทียบตำนานของ Adonis ในกรีกโบราณ ซึ่งเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์และการเจริญเติบโต Adonis ถูกฆ่า แต่ก็ฟื้นคืนชีพในทุกปี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ของธรรมชาติและพืชพรรณหลังจากฤดูหนาว 4. พิธีกรรมแห่งพืชผลในสังคมดั้งเดิม Frazer ให้ตัวอย่างพิธีกรรมที่พบในชุมชนเกษตรกรรมหลายแห่งที่มีการทำพิธีบูชาธรรมชาติ เช่น การถวายพืชผลและการบูชาเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูและการเติบโตของพืชผล ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างพิธีกรรมกับตำนานของเทพเจ้า 5. พิธีกรรมในหมู่ชนเผ่าพื้นเมืองของออสเตรเลีย Frazer อธิบายถึงพิธีกรรมที่ชนเผ่าพื้นเมืองในออสเตรเลียใช้เพื่อควบคุมธรรมชาติ เช่น การทำพิธีขอฝนหรือพิธีเรียกน้ำ เขาอ้างอิงถึงการใช้เวทมนตร์เชิงกายภาพ (sympathetic magic) ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าสิ่งของหรือการกระทำที่คล้ายคลึงกันสามารถส่งผลต่อกันได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น การสาดน้ำขึ้นฟ้าเพื่อกระตุ้นให้ฝนตก หรือการแสดงออกทางสัญลักษณ์เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ 6.พิธีกรรมการเก็บเกี่ยวในยุโรป Frazer ให้ความสำคัญกับพิธีกรรมการเก็บเกี่ยวในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในยุโรป ซึ่งมักมีการบูชาเทพเจ้าแห่งพืชผล เช่น เทพเจ้า Ceres ในโรมันโบราณ หรือ Demeter ในกรีก การเก็บเกี่ยวพืชผลมักเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาและการทำพิธีกรรมเพื่อขอบคุณเทพเจ้า และในบางกรณี มีการสังเวยสัตว์หรือแม้แต่มนุษย์เพื่อให้พืชผลงอกงามในฤดูกาลถัดไปตัวอย่างหนึ่งที่ Frazer อ้างถึง คือ "The Corn Spirit" หรือวิญญาณแห่งข้าวโพด ซึ่งถูกเชื่อว่ามีอยู่ในพืชผลชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะในพิธีกรรมการเก็บเกี่ยวข้าวโพดและข้าวสาลี การเก็บเกี่ยวพืชเหล่านี้ต้องปฏิบัติด้วยความเคารพ เนื่องจากถือว่าเป็นที่อยู่ของวิญญาณพืชผล และมีพิธีกรรมเฉลิมฉลองหรือการสังเวยที่เชื่อว่าช่วยให้วิญญาณกลับมาในฤดูกาลหน้า 7. ตำนานการเสียสละมนุษย์ของชาวแอซเท็ก (Aztecs) Frazer ให้ตัวอย่างการสังเวยมนุษย์ในอารยธรรมแอซเท็ก ซึ่งเชื่อว่าเป็นการสังเวยให้กับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ เช่น เทพเจ้า Huitzilopochtli เพื่อให้ดวงอาทิตย์ขึ้นและคงอยู่ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงการเสียสละกับการรักษาความมั่นคงของโลกและวงจรธรรมชาติ ความตายของผู้สังเวยถือว่าเป็นการฟื้นฟูพลังแห่งชีวิตและทำให้จักรวาลดำเนินต่อไปได้ 8. พิธีกรรมของชาวแอฟริกันที่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ Frazer กล่าวถึงพิธีกรรมของชนเผ่าในแอฟริกา ที่ใช้ในการขอความอุดมสมบูรณ์ทางพืชพันธุ์และสัตว์ ตัวอย่างเช่น พิธีการบูชาเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์เพื่อให้มีสัตว์ป่าและพืชผลที่อุดมสมบูรณ์ในฤดูกาลเก็บเกี่ยว หรือการสังเวยเพื่อให้ได้รับพรจากวิญญาณผู้บรรพบุรุษ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน 9. พิธีกรรมของชาวกรีกโบราณเกี่ยวกับเทพเจ้า Persephone และการเกิดใหม่ Frazer กล่าวถึงพิธีกรรม “Eleusinian Mysteries” ในกรีกโบราณ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่สำคัญเกี่ยวกับการตายและการเกิดใหม่ของเทพี Persephone ซึ่งถูกลักพาตัวไปอยู่ใต้โลกกับ Hades แต่ได้กลับขึ้นมาสู่โลกในฤดูใบไม้ผลิทุกปี ตำนานนี้เชื่อมโยงกับวงจรธรรมชาติของฤดูกาลและการเกิดใหม่ของพืชพรรณ พิธีกรรม Eleusinian เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการฟื้นฟูจิตวิญญาณ 10. พิธีการฟื้นฟูของชาวสก็อตแลนด์เกี่ยวกับ “The Corn Maiden“ Frazer ยกตัวอย่างของ “The Corn Maiden” หญิงสาวแห่งข้าวโพด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ในหมู่ชาวนาชาวสก็อตแลนด์ เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดการเก็บเกี่ยว คนในชุมชนจะทำรูปปั้นจากข้าวโพดในรูปของหญิงสาวและทำพิธีรำลึกถึงวิญญาณแห่งพืชผล เพื่อให้เธอกลับมาในฤดูกาลถัดไปและนำความเจริญรุ่งเรืองมาอีกครั้ง หนังสือThe Golden Boughแสดงถึงความเชื่อที่เชื่อมโยงกับพิธีกรรมและตำนานในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก Frazer พยายามที่จะชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของตำนานและพิธีกรรมเหล่านี้ แม้ว่าวัฒนธรรมจะต่างกัน แต่แนวคิดเกี่ยวกับการเกิดใหม่และการฟื้นฟูที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและมนุษย์มีอยู่ทั่วโลก หากเราจะลองเชื่อมโยงตำนานกับปัจจุบันสามารถมองเห็นได้ในหลายแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ ความเชื่อทางศาสนา สื่อ และพฤติกรรมทางสังคม นี่คือตัวอย่างของการเชื่อมโยงที่น่าสนใจดังนี้ 1. วรรณกรรมและสื่อ ตำนานโบราณยังคงมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมและสื่อในปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ และวรรณกรรมแฟนตาซีหลายเรื่องที่ใช้ตำนานจากวัฒนธรรมต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการสร้างเรื่องราว ตัวอย่างเช่น The Lord of the Rings โดย J.R.R. Tolkien ใช้แรงบันดาลใจจากตำนานนอร์สและตำนานของชนพื้นเมืองยุโรปในการสร้างโลกแฟนตาซีและเรื่องราวของตัวละครหรือ ภาพยนตร์ Marvel เช่น Thor ดึงเอาตำนานนอร์สมาใช้ในการสร้างเรื่องราวและตัวละคร เช่น ธอร์ และโลกของ Asgard 2. พิธีกรรมและเทศกาล หลายพิธีกรรมและเทศกาลในปัจจุบันมีรากฐานมาจากตำนานโบราณ ตัวอย่างเช่น เทศกาลฮาโลวีน มีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมของชาวเซลติกที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเขาเชื่อว่าผีและวิญญาณสามารถกลับมาที่โลกมนุษย์ได้ คริสต์มาส ซึ่งมีการรวมเอาตำนานโรมันและศาสนาคริสต์เข้าด้วยกัน รวมถึงการเฉลิมฉลองการเกิดของพระเยซูและตำนานของซานตาคลอส 3. สัญลักษณ์และแบรนด์สินค้า หลายแบรนด์และผลิตภัณฑ์ใช้สัญลักษณ์จากตำนานเพื่อสร้างการเชื่อมโยงทางอารมณ์และการตลาด ตัวอย่างเช่น แบรนด์เครื่องดื่ม เช่น Red Bull ใช้ภาพลักษณ์ของวัวทองในตำนานนอร์สเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของพลังและความแข็งแกร่ง หรือโลโก้ของบริษัท หลายแห่งใช้สัญลักษณ์ที่มีรากฐานมาจากตำนาน เช่น สัญลักษณ์ของเทพเจ้าและสัญลักษณ์โบราณที่มีความหมายพิเศษ 4. ศาสนาและความเชื่อ ตำนานโบราณยังมีอิทธิพลต่อความเชื่อทางศาสนาและวิธีที่ผู้คนปฏิบัติศาสนาของตน ตัวอย่างเช่น ศาสนาฮินดู ที่มีเทพเจ้าและเรื่องราวตำนานที่ยังคงมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน และพิธีกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นตามตำนานโบราณ หรือศาสนาคริสต์ ที่มีการใช้สัญลักษณ์และเรื่องราวจากคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับตำนานโบราณในแง่ของการสร้างความหมายและความเชื่อ 5. การศึกษาและวิจัย การศึกษาเกี่ยวกับตำนานยังมีบทบาทสำคัญในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น มานุษยวิทยา, ประวัติศาสตร์, และจิตวิทยา หรือการวิจัยทางมานุษยวิทยาที่ศึกษาวิธีที่ตำนานมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและสังคมสมัยใหม่ หรือ การศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาที่วิเคราะห์ถึงวิธีที่ตำนานและสัญลักษณ์จากตำนานมีผลต่อความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ การเชื่อมโยงตำนานกับปัจจุบันช่วยให้เข้าใจถึงความต่อเนื่องของความเชื่อและวัฒนธรรมที่มีมานาน และแสดงให้เห็นว่าตำนานไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวของอดีต แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการสร้างและเข้าใจวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...