ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติศาสตร์เฉพาะบริบท ของ Franz Boas โดยยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

Franz Boas เป็นนักมานุษยวิทยาคนสำคัญที่มักถูกเรียกว่า "บิดาแห่งมานุษยวิทยาสมัยใหม่" โดยผลงานของเขามีผลอย่างมากต่อการศึกษาวัฒนธรรม มนุษย์วิทยากายภาพ และภาษาศาสตร์ รวมถึงทฤษฎีเชิงวิธีวิทยาที่เขาใช้ในการศึกษาสังคมมนุษย์ สาระสำคัญในงานของ Boas มีหลายประการที่สร้างผลกระทบเชิงลึกต่อวงการมานุษยวิทยา สาระสำคัญในงานของ Franz Boas ที่น่าสนใจ เช่น 1. การปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม (Cultural Evolutionism) Boas คัดค้านแนวคิดที่ว่าสังคมมนุษย์ทั้งหมดพัฒนาผ่านขั้นตอนที่แน่นอนจาก “ป่าเถื่อน” ไปจนถึง “อารยะ” เขาเน้นว่าวัฒนธรรมแต่ละแห่งมีพัฒนาการของตนเอง ซึ่งเกิดจากปัจจัยทางประวัติศาสตร์และสภาพแวดล้อมเฉพาะ ไม่ใช่จากกระบวนการวิวัฒนาการสากล 2. ทฤษฎีการสัมพัทธ์ทางวัฒนธรรม (Cultural Relativism) หนึ่งในผลงานที่สำคัญที่สุดของ Boas คือแนวคิดที่ว่าวัฒนธรรมไม่สามารถถูกตัดสินหรือประเมินโดยใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานของวัฒนธรรมอื่น ๆ การเข้าใจวัฒนธรรมหนึ่งจำเป็นต้องพิจารณาในบริบทของสภาพแวดล้อม ประวัติศาสตร์ และค่านิยมของตนเอง 3. การวิจัยภาคสนามอย่างพิถีพิถัน โดย Boas เป็นหนึ่งในผู้ที่เน้นความสำคัญของการลงพื้นที่ศึกษาวัฒนธรรมโดยตรง ผ่านการสังเกตและการสัมภาษณ์เพื่อรวบรวมข้อมูลและพยายามเข้าใจมุมมองของผู้คนในวัฒนธรรมต่าง ๆ จากภายใน 4. การปฏิเสธแนวคิดเชื้อชาตินิยม (Racism) Boas มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับแนวคิดเชื้อชาตินิยมที่เชื่อว่าเชื้อชาติมีความเหนือกว่าและต่ำกว่ากัน เขาแสดงให้เห็นว่าความแตกต่างทางกายภาพไม่ได้สัมพันธ์กับความสามารถทางวัฒนธรรมหรือปัญญา ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในงานของ Boas อาทิเช่น 1. การศึกษาชนพื้นเมืองอเมริกันตะวันตกเฉียงเหนือ Boas ลงภาคสนามกับชนพื้นเมือง Kwakiutl ในบริติชโคลัมเบีย งานนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของการใช้ทฤษฎีการสัมพัทธ์ทางวัฒนธรรมและการปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม โดย Boas ได้รวบรวมข้อมูลอย่างพิถีพิถันเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ ประเพณี และศิลปะของชนเผ่านี้ โดยไม่มองว่าวัฒนธรรมของพวกเขาล้าหลังเมื่อเทียบกับวัฒนธรรมตะวันตก
2. หนังสือเรื่อง The Mind of Primitive Man (1911) ในงานนี้ Boas ชี้ให้เห็นว่าการตัดสินความฉลาดหรือความก้าวหน้าของกลุ่มชนใด ๆ โดยใช้เกณฑ์ของวัฒนธรรมตะวันตกนั้นเป็นการผิดพลาด เขาเน้นว่าสมองของมนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ แต่วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดพฤติกรรมและความสามารถของบุคคล 3. การศึกษากะโหลกศีรษะของผู้อพยพในนิวยอร์ก Boas ดำเนินการศึกษารูปแบบกะโหลกของผู้อพยพและพบว่าลักษณะทางกายภาพของกลุ่มคนเหล่านี้เปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาอพยพมายังสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลักษณะทางกายภาพสามารถถูกปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพแวดล้อม ไม่ได้ถูกกำหนดโดยเชื้อชาติตลอดไป
ผลงานและทฤษฎีของ Franz Boas ส่งผลต่อมุมมองและวิธีการศึกษาทางมานุษยวิทยาสมัยใหม่ในทุกวันนี้ โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาวัฒนธรรมในบริบทของตัวเองและการปฏิเสธการตัดสินหรือประเมินวัฒนธรรมอื่นจากมาตรฐานของตนเอง Franz Boas เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในนักมานุษยวิทยาที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างรากฐานของมานุษยวิทยาสมัยใหม่ งานที่สำคัญของเขาเน้นทั้งการศึกษาวัฒนธรรม ภาษาศาสตร์ และมานุษยวิทยากายภาพ โดย Boas ได้เน้นย้ำวิธีการศึกษาเชิงลึกผ่านการลงพื้นที่และเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์ หนึ่งในหัวข้อที่มีความโดดเด่นในงานของเขาคือการศึกษาศิลปวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง โดยเฉพาะการศึกษาหน้ากากและศิลปะของชนเผ่าในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาเหนือ งานสำคัญของ Franz Boas มี 4 เล่ม ที่น่าคือสนใจ คือ 1. หนังสือ The Mind of Primitive Man (1911) งานชิ้นนี้เป็นหนึ่งในงานที่มีอิทธิพลที่สุดของ Boas ในงานนี้เขาโต้แย้งแนวคิดทางเชื้อชาติที่มีความเชื่อว่ากลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มมีความฉลาดหรือวัฒนธรรมที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดย Boas แสดงให้เห็นว่าไม่มีการวัดความสามารถของมนุษย์ที่อ้างอิงจากเชื้อชาติ วัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มมีพัฒนาการของตัวเองตามบริบททางประวัติศาสตร์และสภาพแวดล้อม
2. หนังสือ Anthropology and Modern Life (1928 ) หนังสือเล่มนี้เป็นการประยุกต์ใช้งานวิจัยทางมานุษยวิทยาเข้ากับปัญหาสังคมสมัยใหม่ Boas มุ่งเน้นการปฏิเสธความคิดที่ว่าเชื้อชาติและลักษณะทางพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถและสถานะทางสังคมของมนุษย์ โดยเขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของปัจจัยทางวัฒนธรรมในการพัฒนาและกำหนดความเป็นมนุษย์
3. หนังสือชื่อ Race, Language, and Culture (1940) งานรวมบทความนี้แสดงถึงความคิดของ Boas ที่เกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม โดยเขาเน้นว่าสามสิ่งนี้ไม่สามารถถูกใช้เป็นตัววัดหรือแยกแยะความเหนือกว่าหรือต่ำกว่าของกลุ่มคนใด ๆ ได้
4. หนังสือชื่อ Primitive Art (1927) ถือเป็นงานที่โบแอสสำรวจและวิเคราะห์ศิลปะพื้นเมือง รวมถึงหน้ากากของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะชนเผ่า Kwakiutl ที่ Boas ศึกษาอย่างละเอียด เขาใช้การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทของศิลปะในฐานะที่เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมและศาสนา
ผลงานการศึกษาหน้ากากของ Franz Boas ส่วนใหญ่ปรากฏในในรายงานภาคสนามและบทความที่เขาเขียนเกี่ยวกับชนเผ่า Kwakiutl ซึ่งหน้ากากเป็นส่วนสำคัญในพิธีกรรมทางสังคม เช่น พิธี Potlatch กรณีการศึกษาหน้ากากของ Franz Boas หนึ่งในหัวข้อที่ Boas ให้ความสนใจอย่างมากคือการศึกษาศิลปะและหน้ากากของชนพื้นเมือง โดยเฉพาะชนเผ่าในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกา (เช่น Kwakiutl) ซึ่ง Boas มองว่าศิลปะและการสร้างสรรค์หน้ากากเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรมและการแสดงออกทางวัฒนธรรม สาระสำคัญคือ 1. การศึกษาหน้ากากของชนเผ่า Kwakiut Boas ได้ทำการศึกษาและบันทึกการใช้หน้ากากในพิธีกรรมของชนเผ่า Kwakiutl ซึ่งหน้ากากเหล่านี้มักถูกใช้ในพิธี Potlatch ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดงสถานะทางสังคมและการมอบของขวัญในชุมชน หน้ากากที่ถูกสร้างขึ้นไม่เพียงแต่มีความหมายทางศิลปะ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมและศาสนา โดย Boas ได้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการสร้างและความหมายเชิงสัญลักษณ์ของหน้ากากเหล่านี้อย่างละเอียด 2. การเชื่อมโยงศิลปะและวัฒนธรรม Boas มองว่าหน้ากากไม่ได้เป็นเพียงสิ่งประดับตกแต่ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางวัฒนธรรมและความเชื่อของชนเผ่า การศึกษาเรื่องหน้ากากจึงเชื่อมโยงกับแนวคิดการสัมพัทธ์ทางวัฒนธรรมของเขา ซึ่งเขาเน้นว่าการเข้าใจหน้ากากและศิลปะพื้นเมืองต้องเข้าใจผ่านบริบทของสังคมและวัฒนธรรมที่พวกเขาอาศัยอยู่ 3. การเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงสัญลักษณ์ Boas เก็บข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้หน้ากากในพิธีกรรม เช่น การแสดงละครพื้นเมืองและการเต้นรำ โดยหน้ากากมีการแสดงออกถึงความเชื่อทางศาสนาและบทบาทของบุคคลในพิธี เขาแสดงให้เห็นว่าหน้ากากไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ศิลปะ แต่เป็นเครื่องมือในการสร้างและสะท้อนสถานะทางสังคมและวัฒนธรรม การศึกษาหน้ากากของ Boas ช่วยสร้างความเข้าใจถึงความสำคัญของศิลปะพื้นเมืองในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อการศึกษามานุษยวิทยาวัฒนธรรมในปัจจุบัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...