ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การศึกษาคนตัวเล็กตัวน้อย การปฏิวัติและต่อสู้ ผ่านงานของ Eric R.Wolf โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

Eric R. Wolf เป็นนักมานุษยวิทยาที่มีผลงานสำคัญในด้านมานุษยวิทยาสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องของอำนาจและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ต่อไปนี้เป็นหนังสือที่น่าสนใจของเขา: 1. Europe and the People Without History" (1982) หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่สำคัญที่สุดของ Wolf ซึ่งเขาแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจโลกและกลุ่มคนต่าง ๆ ทั่วโลก Wolf ได้วิจารณ์แนวคิดของประวัติศาสตร์แบบตะวันตกที่ละเลยกลุ่มคนพื้นเมือง และแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของอาณานิคมและการค้าโลกที่มีต่อคนกลุ่มนี้ หนังสือเล่มนี้ของ Wolf ถือเป็นงานที่สำคัญในมานุษยวิทยาเชิงประวัติศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายในการทำลายแนวคิดดั้งเดิมที่มองประวัติศาสตร์ของโลกจากมุมมองตะวันตกเพียงฝ่ายเดียว หนังสือเล่มนี้วิพากษ์วิจารณ์ความคิดที่ว่าประวัติศาสตร์โลกถูกกำหนดโดยชาติยุโรปและชนชั้นนำเท่านั้น ขณะที่คนพื้นเมืองในภูมิภาคอื่น ๆ มักถูกมองว่าเป็น "คนไร้ประวัติศาสตร์" (people without history) โดยสาระสำคัญที่น่าสนใจของหนังสือคือ 1. การเชื่อมโยงโลกผ่านระบบทุนนิยม Eric R. Wolf ให้เหตุผลว่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา การขยายตัวของการค้าโลก การล่าอาณานิคม และการพัฒนาของระบบทุนนิยม ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของประชาชนทั่วโลก เขาแสดงให้เห็นว่าคนพื้นเมืองในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา ไม่ใช่เพียงผู้ถูกกระทำ แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างและพัฒนาของเศรษฐกิจโลก 2. วิพากษ์แนวคิดประวัติศาสตร์แบบยูโรเซนทริก ( Eurocentric) หรือการเอายุโรปเป็นศูนย์กลาง Eric R. Wolf ตั้งคำถามต่อวิธีการที่นักประวัติศาสตร์ยุโรปมักมองว่าประวัติศาสตร์โลกเป็นเรื่องราวของยุโรปเพียงฝ่ายเดียว โดยละเลยหรือบิดเบือนบทบาทของคนพื้นเมืองและสังคมในภูมิภาคอื่น Wolf ชี้ให้เห็นว่าโลกไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยยุโรปเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผลจากการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมหลายแห่งทั่วโลก 3. โครงสร้างของสังคมและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ Eric R. Wolf วิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในสังคมทั่วโลกในยุคอาณานิคมและหลังอาณานิคม โดยเฉพาะบทบาทของชนชั้นแรงงานในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ชาวนา ชนพื้นเมือง และทาสในระบบทุนนิยมโลก ตัวอย่างรูปธรรมที่น่าสนใจของหนังสือ ได้แก่ ชาวนาในยุคทุนนิยมโลก โดยที่ Eric R. Wolf ได้กล่าวถึงบทบาทของชาวนาในระบบเศรษฐกิจโลก โดยชี้ให้เห็นว่าการขยายตัวของการค้าโลกและการล่าอาณานิคมทำให้ชาวนาในทวีปเอเชียและแอฟริกาถูกดึงเข้าสู่ระบบการผลิตและการค้าแบบทุนนิยม พวกเขากลายเป็นแรงงานที่ผลิตวัตถุดิบ เช่น ฝ้าย ยาง หรือกาแฟ เพื่อนำไปใช้ในตลาดโลก โดยไม่ได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม Eric R. Wolf ชี้ให้เห็น การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โดยในยุคการค้าทาส Wolf อธิบายว่าการพัฒนาของทุนนิยมและการค้าระหว่างยุโรป แอฟริกา และอเมริกา ได้ดึงทาสเข้ามาเป็นแรงงานในระบบเศรษฐกิจโลกผ่านการค้าขายของยุโรป ทาสถูกนำไปใช้ในไร่นาน้ำตาลในอเมริกาเพื่อผลิตสินค้าส่งกลับไปยังยุโรป การค้าทาสเป็นตัวอย่างสำคัญของการที่คนพื้นเมืองในภูมิภาคอื่นถูกเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลก Eric R. Wolf พูดถึงการล่าอาณานิคมในอเมริกา เขาได้กล่าวถึงการล่าอาณานิคมในอเมริกาซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรพื้นเมือง เช่น อาณาจักรอินคาและแอซเทค การเข้ามาของผู้ล่าอาณานิคมยุโรปได้เปลี่ยนแปลงระบบสังคมและเศรษฐกิจของคนพื้นเมืองอย่างสิ้นเชิง พวกเขากลายเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบเช่น ทองคำและเงินที่ถูกส่งไปยังยุโรป บทสรุปของหนังสือคือ Eric R. Wolf ต้องการทำลายแนวคิดที่ว่าคนพื้นเมืองในโลกเป็น "คนไร้ประวัติศาสตร์" โดยแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโลก โดยหนังสือเล่มนี้ยังให้มุมมองที่กว้างและลึกซึ้งเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมต่าง ๆ และบทบาทของทุนนิยมในการสร้างโครงสร้างทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
2. Peasant Wars of the Twentieth Century (1969) ในหนังสือเล่มนี้ Wolf วิเคราะห์การปฏิวัติของชาวนาในศตวรรษที่ 20 เขาเปรียบเทียบการต่อสู้ของชาวนาหลายประเทศ เช่น รัสเซีย จีน เม็กซิโก และเวียดนาม โดยแสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการเมืองที่นำไปสู่การปฏิวัติ หนังสือ Peasant Wars of the Twentieth Century (1969) โดย Eric R. Wolf เป็นการศึกษาการปฏิวัติของชาวนาในศตวรรษที่ 20 โดยเน้นการต่อสู้ทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นในหลากหลายภูมิภาค หนังสือเล่มนี้มุ่งวิเคราะห์บทบาทของชาวนาในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ โดย Wolf ชี้ให้เห็นถึงแรงจูงใจและสาเหตุที่ทำให้ชาวนาลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง และยังวิเคราะห์ถึงผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ทำให้การปฏิวัติเหล่านี้ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว สาระสำคัญของหนังสือ อาทิ 1. บทบาทของชาวนาในประวัติศาสตร์การปฏิวัติ Wolf โต้แย้งแนวคิดที่ว่าชาวนาเป็นกลุ่มที่ล้าหลังและไม่มีบทบาทในประวัติศาสตร์การปฏิวัติ เขาแสดงให้เห็นว่าชาวนามีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับระบบการเมืองที่กดขี่ และเป็นกลุ่มที่สร้างแรงกดดันต่อระบบการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายประเทศ 2. ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่นำไปสู่การปฏิวัติ การปฏิวัติของชาวนาในศตวรรษที่ 20 เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การกดขี่ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชาวนาต้องเผชิญ การถูกเอาเปรียบจากชนชั้นสูง การขยายตัวของรัฐสมัยใหม่ และอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวนาเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ 3. ความเชื่อมโยงกับลัทธิคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม Wolf อธิบายว่าหลายการปฏิวัติของชาวนาในศตวรรษที่ 20 ได้รับอิทธิพลจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และสังคมนิยมที่เน้นเรื่องความเสมอภาคและการปลดปล่อยชนชั้นแรงงาน โดยเฉพาะการที่ผู้นำปฏิวัติเห็นถึงโอกาสที่จะใช้ความไม่พอใจของชาวนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 4. การเปรียบเทียบการปฏิวัติในหลายประเทศ Wolf เปรียบเทียบการปฏิวัติของชาวนาในหกประเทศ ได้แก่ รัสเซีย จีน เม็กซิโก แอลจีเรีย เวียดนาม และคิวบา เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบและลักษณะเฉพาะของแต่ละการปฏิวัติ แม้ว่าจะมีความแตกต่างในบริบททางสังคมและการเมือง แต่เขาพบว่ามีปัจจัยร่วมกันหลายอย่างที่ทำให้การปฏิวัติเกิดขึ้น ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ 1. การปฏิวัติรัสเซีย (1917) Wolf กล่าวถึงการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลซาร์ของชาวนารัสเซียที่ถูกกดขี่ทางเศรษฐกิจและสังคม ชาวนารัสเซียมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติ โดยสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ของเลนินที่เสนอให้มีการยึดที่ดินจากเจ้าของที่ดินรายใหญ่และแจกจ่ายให้ชาวนา การปฏิวัติครั้งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมของรัสเซียอย่างมหาศาล 2. การปฏิวัติของจีน (1949) ชาวนาจีนเป็นกลุ่มสำคัญในการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมา เจ๋อตง การต่อสู้กับรัฐบาลคณะชาติจีน (ก๊กมินตั๋ง) ในช่วงสงครามกลางเมืองจีนได้รับการสนับสนุนจากชาวนาที่ยากจนและถูกกดขี่ เหมาใช้วิธีการสร้างเครือข่ายในชนบทและสนับสนุนให้ชาวนายึดที่ดินจากเจ้าที่ดิน ซึ่งนำไปสู่ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์และการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน 3. การปฏิวัติเม็กซิโก (1910-1920) ชาวนาเม็กซิโกลุกขึ้นสู้ในช่วงการปฏิวัติเม็กซิโกเพื่อต่อต้านการถูกกดขี่ทางเศรษฐกิจและการเมืองจากรัฐบาลของประธานาธิบดีดิอาซ ชาวนาเรียกร้องให้มีการแจกจ่ายที่ดินใหม่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ผลของการปฏิวัติคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองของเม็กซิโกและการปฏิรูปที่ดิน ซึ่งกลายเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลเม็กซิโกในยุคหลัง บริบท ชาวนาเม็กซิโกลุกขึ้นสู้ในช่วงการปฏิวัติเพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของ ปอร์ฟิริโอ ดิอาซ ซึ่งใช้ทรัพยากรและที่ดินของประเทศเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของชนชั้นสูงและบริษัทต่างชาติ ชาวนาถูกเอาเปรียบและกดขี่ในระบบที่ดินที่ไม่ยุติธรรม บทบาทของชาวนาการนำของ เอมิลิอาโน ซาปาตา ซึ่งเป็นผู้นำชาวนาในภาคใต้ของเม็กซิโก ได้แสดงถึงบทบาทสำคัญของชาวนาในการลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล ซาปาตาเสนอ "แผนแห่งอายาลา" ที่เรียกร้องให้ยึดที่ดินจากเจ้าของที่ดินและแจกจ่ายให้ชาวนา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าซาปาตาจะถูกลอบสังหารในปี 1919 แต่การปฏิวัติเม็กซิโกได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น การปฏิรูปที่ดินและการกระจายที่ดินให้กับชาวนา โดยรัฐบาลเม็กซิโกในยุคหลังได้พยายามปรับปรุงสิทธิของชาวนาภายใต้กฎหมายใหม่ 4. การปฏิวัติเวียดนาม (1954-1975) ในกรณีของเวียดนาม Wolf อธิบายว่าชาวนาเวียดนามเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา ชาวนาสนับสนุนการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ของโฮจิมินห์ เพราะรัฐบาลที่ปกครองโดยฝรั่งเศสและต่อมาก็สหรัฐอเมริกาไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกเขา การปฏิวัติเวียดนามนำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม บริบทการปฏิวัติเวียดนามเป็นผลมาจากการต่อสู้ยาวนานกับอำนาจอาณานิคมฝรั่งเศส และต่อมากับสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาสนับสนุนรัฐบาลฝ่ายใต้ ขบวนการชาวนาภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและโฮจิมินห์ ได้รับการสนับสนุนจากชาวนาในการต่อต้านการปกครองที่กดขี่ บทบาทของชาวนาในชนบทเวียดนามเหนือลุกขึ้นสู้กับเจ้าของที่ดินและระบบการเมืองที่ถูกควบคุมโดยอำนาจอาณานิคม ชาวนาได้ให้การสนับสนุนกองกำลังเวียดกงในการทำสงครามกองโจร ผลลัพธ์ของการต่อสู้ ในที่สุดกองกำลังปฏิวัติก็ได้รับชัยชนะในปี 1975 ส่งผลให้เวียดนามได้รับการรวมประเทศและจัดตั้งเป็นรัฐสังคมนิยม การปฏิรูปที่ดินกลายเป็นนโยบายสำคัญในการกระจายที่ดินให้ชาวนา 5. การปฏิวัติของคิวบา (1953-1959) บริบทของการปฏิวัติคิวบานำโดย ฟิเดล คาสโตร และ เช เกวารา เพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของ ฟุลเคนซิโอ บาติสตา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ชาวนาในชนบทของคิวบาถูกกดขี่จากระบบที่ดินที่เอาเปรียบ โดยเจ้าของที่ดินรายใหญ่ถือครองพื้นที่ส่วนมาก ขณะที่ชาวนาไม่มีที่ดินทำกิน บทบาทของชาวนาที่เกิดขึ้น ชาวนาในชนบทของคิวบาให้การสนับสนุนขบวนการปฏิวัติ ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ภูเขาและชนบท โดยมอบความช่วยเหลือทางด้านเสบียงอาหารและที่พักให้กับกองกำลังปฏิวัติ ผลลัพธ์ของการต่อสู้ การปฏิวัติประสบความสำเร็จเมื่อ ฟิเดล คาสโตร เข้ายึดครองกรุงฮาวานาในปี 1959 หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดิน แจกจ่ายที่ดินให้กับชาวนา และสร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในคิวบา 6. การต่อสู้เพื่อเอกราชของแอลจีเรีย (1954-1962) บริบทของแอลจีเรียอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสมาตั้งแต่ปี 1830 โดยชาวนาแอลจีเรียถูกกดขี่จากการสูญเสียที่ดินและทรัพยากรให้กับชาวอาณานิคมฝรั่งเศส การปฏิวัติเพื่อต่อต้านการล่าอาณานิคมเริ่มต้นในปี 1954 นำโดยขบวนการแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติแอลจีเรีย (FLN) บทบาทของชาวนาแอลจีเรีย ถือเป็นกลุ่มสำคัญที่ให้การสนับสนุนการปฏิวัติ โดยพวกเขาเข้าร่วมการต่อต้านผ่านการรบกองโจรและการให้การสนับสนุนทางด้านเสบียงและความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ภูเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำลังปฏิวัติ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติที่ยาวนานและรุนแรงนี้สิ้นสุดลงในปี 1962 เมื่อแอลจีเรียได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส ภายหลังความสำเร็จของการปฏิวัติ รัฐบาลใหม่ได้ทำการปฏิรูปที่ดินและสนับสนุนการพัฒนาชนบท เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับชาวนา หนังสือ "Peasant Wars of the Twentieth Century" แสดงให้เห็นว่าชาวนาไม่ใช่กลุ่มที่ถูกกดขี่อย่างเงียบ ๆ แต่เป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายประเทศ Wolf สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวนาและผู้นำการปฏิวัติที่สามารถนำพลังของความไม่พอใจในชนบทมาใช้ในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าชาวนามีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับอำนาจอาณานิคม การเรียกร้องสิทธิเกี่ยวกับที่ดิน หรือการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคม ซึ่งมักได้รับแรงกระตุ้นจากความยากจน การถูกกดขี่ และการถูกเอาเปรียบ
3. Envisioning Power: Ideologies of Dominance and Crisis (1999) หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและอุดมการณ์ในสังคมต่าง ๆ Wolf ศึกษาและวิเคราะห์สามกรณีศึกษา: วัฒนธรรมของชนพื้นเมืองในแอฟริกา อาณาจักรอินคาในอเมริกาใต้ และการเติบโตของลัทธินาซีในเยอรมนี หนังสือ Envisioning Power: Ideologies of Dominance and Crisis (1999) โดย Eric R. Wolf เป็นการศึกษาวิเคราะห์บทบาทของอำนาจและอุดมการณ์ในการสร้างความครอบงำและวิกฤตในสังคมต่างๆ Wolf มุ่งเน้นการวิเคราะห์ว่าอำนาจทางการเมืองและสังคมถูกสร้างขึ้นอย่างไร และเหตุใดอุดมการณ์จึงมีอิทธิพลต่อการกำหนดแนวทางของสังคมและการตัดสินใจของมนุษย์ หนังสือเล่มนี้เจาะลึกกรณีศึกษาเฉพาะ 3 กรณี เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ อุดมการณ์ และวิกฤตทางประวัติศาสตร์สาระสำคัญที่น่าสนใจ เช่น 1. แนวคิดว่าด้วยอำนาจและอุดมการณ์ Wolf สำรวจว่าอุดมการณ์เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมอำนาจและสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองอย่างไร โดยเขาอธิบายว่าอุดมการณ์ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อที่แยกออกจากชีวิตประจำวัน แต่เป็นกลไกสำคัญในการจัดระเบียบและควบคุมสังคม Wolf มองว่าอุดมการณ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความครอบงำทางสังคมและวัฒนธรรม 2. การใช้อำนาจในช่วงวิกฤต Wolf อธิบายว่าวิกฤตทางสังคม มักทำให้ระบบอำนาจต้องเผชิญกับการท้าทายจากทั้งภายในและภายนอก ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนอุดมการณ์หรือการใช้อำนาจในรูปแบบใหม่ การตอบสนองต่อวิกฤตนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้มีอำนาจในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ หรือในการรักษาอำนาจผ่านการใช้อุดมการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ 3. การเปรียบเทียบทางประวัติศาสตร์ Wolf ใช้กรณีศึกษาจากสามสังคมที่แตกต่างกัน ได้แก่ คณะนักรบ Kwakiutl ในอเมริกาเหนือ, จักรวรรดิแอซเท็ก และนาซีเยอรมัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีที่อุดมการณ์และอำนาจทางการเมืองมีผลต่อการเกิดและล่มสลายของสังคมเหล่านี้ 4. พลังของวัฒนธรรม Wolf เน้นว่าการวิเคราะห์อำนาจต้องคำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเชื่อและการปฏิบัติของคนในสังคมต่างๆ อำนาจจึงไม่ได้มาจากการบังคับทางการเมืองหรือการใช้กำลังเท่านั้น แต่ยังมาจากความสามารถในการสร้างและใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมและอุดมการณ์ในการควบคุมและชักจูงคนในสังคมด้วย ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากกรณีศึกษา 1. Kwakiutl (ชนเผ่าพื้นเมืองในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ) บริบทในสังคม Kwakiutl เป็นสังคมนักรบในพื้นที่แปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งมีการจัดพิธีทางสังคมที่ซับซ้อน โดยเฉพาะพิธีที่เรียกว่า Potlatch ที่ใช้แสดงความมั่งคั่งและอำนาจผ่านการแจกจ่ายทรัพยากร ผ่านการจัดเลี้ยงและการเชิญแขกเข้าร่วม อุดมการณ์ ที่สะท้อนในพิธีกรรม E ric R. Wolf ชี้ให้เห็นว่า Potlatch ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความร่ำรวย แต่เป็นการใช้อำนาจเชิงสัญลักษณ์ในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมและรักษาอำนาจในชุมชน อุดมการณ์นี้ทำให้นักรบและหัวหน้าชุมชนสามารถควบคุมสังคมและรักษาอำนาจผ่านการให้และการรับ การครอบงำ ที่สะท้อนผ่านพิธีกรรรม อำนาจของ Kwakiutl ถูกสร้างขึ้นจากการรวมกันของอุดมการณ์ทางวัฒนธรรมและการควบคุมทรัพยากรที่สำคัญ การแจกจ่ายทรัพยากรในพิธี Potlatch เป็นการสร้างพันธมิตรและรักษาสถานะในสังคมที่มีการแข่งขันสูง 2. จักรวรรดิแอซเท็ก หากพิจารณาบริบท จักรวรรดิแอซเท็กเป็นสังคมที่มีการรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองอย่างมาก และมีอุดมการณ์เกี่ยวกับการบูชายัญเป็นศูนย์กลาง อุดมการณ์ในพิธีกรรมที่สะท้อน Wolf วิเคราะห์ว่าการบูชายัญในสังคมแอซเท็กไม่ได้เป็นเพียงพิธีทางศาสนา แต่เป็นเครื่องมือทางอำนาจที่สร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองของจักรวรรดิ การบูชายัญเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า และเป็นการย้ำเตือนถึงอำนาจของผู้ปกครองที่มีความเชื่อมโยงกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ประเด็นเรื่องการใช้อำนาจ ผู้ปกครองแอซเท็กใช้การบูชายัญและอุดมการณ์ทางศาสนาในการควบคุมและปราบปรามการกบฏภายใน การแสดงความสามารถในการทำพิธีที่มีความรุนแรงนี้เป็นวิธีการรักษาความกลัวและการครอบงำทางจิตวิทยาในหมู่ประชากร 3. ลัทธินาซีเยอรมัน บริบทการขึ้นสู่อำนาจของนาซีเยอรมันในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นำไปสู่การจัดตั้งระบอบเผด็จการที่สร้างอุดมการณ์ชาตินิยมสุดโต่งและการแบ่งแยกเชื้อชาติ อุดมการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น นาซีเยอรมันใช้อุดมการณ์เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ทางเชื้อชาติและการขยายอำนาจของอารยันในการชี้นำและชักจูงมวลชน อุดมการณ์นี้ถูกนำมาใช้ในการสร้างการสนับสนุนทางสังคมและเศรษฐกิจสำหรับนโยบายที่เหยียดเชื้อชาติและทำให้การล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust) เกิดขึ้นได้ การใช้อำนาจในช่วงวิกฤต นาซีเยอรมันใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจของประชาชนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในการสร้างการสนับสนุนจากประชาชน และใช้อุดมการณ์เพื่อปราบปรามผู้ที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูของรัฐ เช่น ชาวยิวและกลุ่มต่อต้านทางการเมือง บทสรุปของหนังสือ Envisioning Power: Ideologies of Dominance and Crisis ของ Eric R. Wolf แสดงให้เห็นว่าการครอบงำและวิกฤตทางการเมืองและสังคมมักจะสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอุดมการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาอำนาจ อุดมการณ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการวิกฤตและปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป Wolf แสดงให้เห็นว่าสังคมต่าง ๆ ใช้อุดมการณ์ในการควบคุมและชักจูงประชาชนให้ยอมรับอำนาจที่อยู่เหนือพวกเขา โดยที่อำนาจนั้นไม่ได้มีเพียงรูปแบบการควบคุมทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงการควบคุมทางจิตวิทยาและวัฒนธรรม โดยหนังสือของ Wolf มักจะเน้นไปที่การวิเคราะห์เชิงลึกถึงโครงสร้างของสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...