Digital Bodies: Healthcare, Technoscience, and the Virtual Human เป็นแนวคิดที่เจาะลึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวงการการแพทย์และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี โดยเน้นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมนุษย์จากมุมมองดิจิทัล และบทบาทของเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสุขภาพและการดูแลสุขภาพ แนวคิดหลักที่น่าสนใจคือ
1. ร่างกายเสมือนและเทคโนโลยีสุขภาพ หนังสือเน้นถึงการเกิดขึ้นของ "ร่างกายเสมือน" (Virtual Human) ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีในการสร้างแบบจำลองร่างกายมนุษย์ผ่านสื่อดิจิทัล ตัวอย่างเช่น การสร้างอวตารที่จำลองจากข้อมูลทางกายภาพ เพื่อใช้ในการรักษาหรือศึกษาโรคโดยไม่มีการสัมผัสทางกายภาพจริง
2. การแพทย์แบบดิจิทัล แนวคิดที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพ เช่น การใช้ AI ในการวินิจฉัย การใช้ VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality) ในการจำลองการผ่าตัด และการใช้ข้อมูลทางสุขภาพดิจิทัลเพื่อติดตามพฤติกรรมและสุขภาพของผู้ป่วยในระยะยาว
3. การเปลี่ยนแปลงของการดูแลสุขภาพและบทบาทของผู้ป่วย ด้วยการแพทย์ดิจิทัล ผู้ป่วยมีบทบาทมากขึ้นในการจัดการสุขภาพของตนเอง ข้อมูลสุขภาพที่สามารถติดตามได้ตลอดเวลา เช่น แอปพลิเคชันตรวจสุขภาพหรือเครื่องมือวัดค่าต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่ผู้ป่วยและแพทย์ปฏิสัมพันธ์กัน
4. ความเสี่ยงและความท้าทายทางจริยธรรม หนังสือยังกล่าวถึงความเสี่ยงและปัญหาทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีในวงการการแพทย์ เช่น ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสุขภาพ ความเสี่ยงจากการใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีด้านสุขภาพ
ตัวอย่างรูปธรรม อาทิเช่น การใช้ AI ในการตรวจจับมะเร็ง หนังสือยกตัวอย่างการใช้ AI ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์เพื่อช่วยตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้น ซึ่งมีความแม่นยำและรวดเร็วมากกว่าวิธีการวินิจฉัยแบบดั้งเดิม
การใช้ VR เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ อีกตัวอย่างที่หนังสือกล่าวถึงคือการใช้เทคโนโลยี VR ในการฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย เช่น การช่วยเหลือผู้ป่วยหลังจากการผ่าตัดหรือผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูกล้ามเนื้อผ่านการจำลองการออกกำลังกายในโลกเสมือน
การผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์ (Robotic Surgery)
การใช้ หุ่นยนต์ผ่าตัด ที่ถูกควบคุมโดยศัลยแพทย์ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถทำการผ่าตัดที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนมากกว่ามือมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การใช้หุ่นยนต์ Da Vinci Surgical System ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่ใช้ในผ่าตัดมากมายทั่วโลก ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และเพิ่มความแม่นยำในการรักษา
การใช้ Big Data ในการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ โดย Big Data ได้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพที่สะสมจากผู้ป่วยจำนวนมาก เพื่อตรวจสอบแนวโน้มและรูปแบบที่สามารถนำไปสู่การรักษาและการป้องกันโรคได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้ข้อมูลจาก wearables (อุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการนอน ความเครียด และสุขภาพหัวใจของผู้ใช้ในระยะยาว นำไปสู่การสร้างโปรแกรมการป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การใช้การพิมพ์ 3 มิติในการสร้างอวัยวะเทียม (3D-Printed Prosthetics) ความก้าวหน้าของการใช้ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ในการสร้างอวัยวะเทียม เช่น แขน ขา และแม้แต่อวัยวะภายในบางชนิด เช่น การทดลองสร้างไตหรือหัวใจเทียม การพิมพ์อวัยวะด้วย 3 มิติสามารถออกแบบให้ตรงกับลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลได้ ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความต้องการเฉพาะทางได้รับการรักษาที่ดียิ่งขึ้น
การใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพ คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ของการสะท้อนการใช้ Blockchainในการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในการจัดการข้อมูลทางการแพทย์ ระบบ Blockchain สามารถทำให้ข้อมูลสุขภาพเป็นแบบกระจายศูนย์และเข้าถึงได้เฉพาะผู้มีสิทธิ์เท่านั้น เช่น โรงพยาบาลหรือแพทย์ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมข้อมูลของตนเองได้ดีขึ้น
การใช้เทคโนโลยี AI ในการพยากรณ์โรคและการรักษาเฉพาะบุคคล (Predictive Analytics & Personalized Medicine) เราจะพบเห็นการใช้ AI ในการสร้างการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ (Predictive Analytics) ซึ่งสามารถช่วยให้แพทย์สามารถพยากรณ์ได้ว่าใครมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอะไรในอนาคต ตัวอย่างเช่น การพยากรณ์การเกิดโรคหัวใจหรือมะเร็ง โดยอ้างอิงจากข้อมูลสุขภาพ พันธุกรรม และรูปแบบการใช้ชีวิต ซึ่งจะนำไปสู่การออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย
Digital Bodies เป็นการปฏิวัติดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงร่างกายมนุษย์และการดูแลสุขภาพอย่างไร พร้อมทั้งตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของการแพทย์และผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์ทางสังคม และความเป็นมนุษย์
ดังนั้น Digital Bodies แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยเปลี่ยนแปลงวงการสุขภาพอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการนำ AI, หุ่นยนต์, Big Data, การพิมพ์ 3 มิติ, และ Blockchain มาใช้ในกระบวนการดูแลและรักษาผู้ป่วย ทำให้การแพทย์ดิจิทัลสามารถทำให้การดูแลสุขภาพแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น