ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Cybog body : มานุษยวิทยาแห่งโลกอนาคต และการทำความเข้าใจมนุษย์แบบใหม่ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

มันท้าทายเหมือนกันในการอธิบายเรื่องยากให้ง่าย วันนี้ผมจะสอน Cybog Body แต่จุดมุ่งหมายอยากให้เกิดไอเดียใหม่ ในเชิงปรัชญา แนวคิด วิธีวิทยาในการทำความเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ โลกสมัยใหม่ ที่วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มีความสำคัญมากขึ้น มันเปลี่ยนนิยม ความหมายของความเป็นมนุษย์ในแบบที่เราเคยรับรู้มา ผมเรียกมันว่ามานุษยวิทยาในโลกอนาคต เราจะเจอคำว่า Amalgams of the organic, inorganic, and immaterial flow สื่อความหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันขององค์ประกอบทั้งทางธรรมชาติ (organic), เทคโนโลยีและวัสดุที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ (inorganic), และข้อมูลหรือกระแสความคิดที่ไม่มีตัวตน (immaterial flow) ซึ่งมาบรรจบและผสมผสานกันในโลกปัจจุบันอย่างซับซ้อนและกลมกลืน หากเราจะอธิบายความหมายของแต่ละองค์ประกอบขยายความให้ชัดเจนขึ้นคือ 1. Organic (สิ่งมีชีวิต) หมายถึงสิ่งที่มีชีวิต เช่น มนุษย์ พืช สัตว์ สิ่งที่มีเซลล์หรือชีวภาพเป็นส่วนประกอบ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่ “ธรรมชาติ” มอบให้เราและเป็นตัวแทนของโลกทางชีวภาพ 2. Inorganic (สิ่งไม่มีชีวิต) สิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวภาพ เช่น เครื่องจักร เทคโนโลยี โลหะ วัสดุสังเคราะห์ หรือสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์หรือสิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยี ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบทาง เทคโนโลยี ในโลกสมัยใหม่ 3. Immaterial Flow (กระแสที่ไม่มีตัวตนหรือเป็นนามธรรม) หมายถึงสิ่งที่ไม่จับต้องได้และไม่มีรูปร่างเป็นรูปธรรม เช่น ข้อมูล ความคิด อารมณ์ สัญลักษณ์ ภาษา การไหลเวียนของข้อมูลในเครือข่ายดิจิทัล หรือกระแสพลังงานที่เรามองไม่เห็น ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในยุคดิจิทัลและสังคมเครือข่าย คำว่า Amalgams คือการผสมผสาน โดยคำศัพท์คำว่า “Amalgams” หมายถึงการรวมตัวหรือผสมผสานกันอย่างกลมกลืน การรวมกันของสิ่งที่ต่างกันเหล่านี้บ่งบอกถึงการเชื่อมโยงหรือผสมผสานระหว่างธรรมชาติ เทคโนโลยี และนามธรรม การมีอยู่พร้อมกันขององค์ประกอบทั้งสามนี้สร้างโลกที่ซับซ้อนและกลมกลืนกันมากขึ้น ตัวอย่างเชิงรูปธรรมอาทิเช่น 1.โลกดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเป็นตัวอย่างหนึ่งของการผสมผสานระหว่าง สิ่งไม่มีชีวิต เช่น เทคโนโลยีเครือข่ายและเซิร์ฟเวอร์ (inorganic), สิ่งมีชีวิต ที่เป็นผู้ใช้งานที่สื่อสารและโต้ตอบกันในโลกออนไลน์ (organic), และ กระแสข้อมูลที่ไม่มีตัวตน ที่เคลื่อนผ่านเครือข่ายเหล่านั้น เช่น การสื่อสาร ความรู้ และข้อมูล (immaterial flow) 2. ร่างกายมนุษย์และเทคโนโลยี การฝังชิปหรืออุปกรณ์เทคโนโลยีในร่างกายมนุษย์ เช่น การใช้อวัยวะเทียม การปลูกถ่ายหัวใจเทียม หรือการฝังอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ เป็นการผสมผสานระหว่าง สิ่งมีชีวิต และ สิ่งไม่มีชีวิต ขณะเดียวกันก็มี ข้อมูลดิจิทัล ที่ไหลผ่านระบบทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษา 3. เมืองสมัยใหม่ เมืองในยุคปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการรวมตัวของ สิ่งมีชีวิต (คน พืช สัตว์) และ สิ่งไม่มีชีวิต (อาคาร ถนน เทคโนโลยี) พร้อมกับ กระแสข้อมูล ที่ไม่มีตัวตนที่ไหลผ่าน เช่น ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด เครือข่ายดิจิทัล การใช้พลังงานไฟฟ้าและสัญญาณต่าง ๆ ที่ทำให้เมืองมีชีวิตชีวามากขึ้น ในขณะที่วลีว่า We are all cyborgs and have been since people acquired culture มาจากแนวคิดของนักทฤษฎีเฟมินิสม์และนักวิชาการ Donna Haraway ใน A Cyborg Manifesto ซึ่งเธอเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ cyborg (ไซบอร์ก) เพื่อท้าทายขอบเขตที่มักถูกแบ่งแยกระหว่างธรรมชาติ/วัฒนธรรม มนุษย์/เครื่องจักร และเพศสภาพชาย/หญิง ความหมายของวลีข้งต้นนี้สามารถอธิบายขยายความให้เข้าใจได้มากขึ้น ดังนี้ 1. การเป็นไซบอร์กในความหมายทางวัฒนธรรม Haraway มองว่า "ไซบอร์ก" ไม่ได้หมายถึงเพียงสิ่งมีชีวิตครึ่งมนุษย์ครึ่งเครื่องจักรในเชิงกายภาพเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนว่ามนุษย์ทุกคนต่างได้รับอิทธิพลและเปลี่ยนแปลงผ่าน วัฒนธรรม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มาโดยตลอด มนุษย์จึงไม่ใช่สิ่งที่บริสุทธิ์จากธรรมชาติอีกต่อไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายที่ประกอบด้วยองค์ประกอบทางเทคโนโลยี สังคม และวัฒนธรรม 2. วัฒนธรรมคือเทคโนโลยีที่หล่อหลอมมนุษย์ Haraway มองว่าวัฒนธรรมทำหน้าที่เสมือนเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงและหล่อหลอมมนุษย์ตั้งแต่ช่วงแรกที่มนุษย์เริ่มพัฒนาสัญลักษณ์ ภาษา และเครื่องมือในการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสร้างตัวตนและสังคมให้กับมนุษย์ และเป็นเหมือนการ “เชื่อมต่อ” มนุษย์กับระบบที่เป็นมากกว่าชีวภาพ จึงทำให้มนุษย์เป็น ไซบอร์กในเชิงสัญลักษณ์ มาโดยตลอด 3. การเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี Haraway เน้นว่า ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมากในการกำหนดชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อุปกรณ์สื่อสาร เทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือแม้แต่การทำงานที่พึ่งพาระบบคอมพิวเตอร์ มนุษย์และเทคโนโลยีเริ่มกลมกลืนกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เราทุกคนจึงเป็นไซบอร์กที่ได้รับผลกระทบจากการผสมผสานระหว่างธรรมชาติและเทคโนโลยีมาตั้งแต่อดีต และขอบเขตระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีจึงไม่ชัดเจนอีกต่อไป 4. การท้าทายขอบเขตและการแบ่งแยก คำกล่าวนี้ยังเป็นการท้าทายแนวคิดที่มักแบ่งแยกระหว่างธรรมชาติ (Nature) และ วัฒนธรรม (Culture) Haraway เสนอว่าความคิดเรื่องมนุษย์ที่บริสุทธิ์จากธรรมชาติและเครื่องจักรเป็นสิ่งที่แบ่งแยกไม่ได้จริงๆ เพราะตั้งแต่ที่มนุษย์เริ่มมีวัฒนธรรม มนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างและกำหนดโดยองค์ประกอบภายนอกต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี สัญลักษณ์ และโครงสร้างทางสังคม ดังนั้น วลี We are all cyborgs and have been since people acquired culture หมายถึงการที่มนุษย์ทุกคนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์จากธรรมชาติตั้งแต่แรก เพราะวัฒนธรรม เทคโนโลยี และสังคมได้หล่อหลอมตัวตนและความเป็นมนุษย์ของเราอยู่เสมอ มนุษย์จึงเป็น "ไซบอร์ก" ในเชิงสัญลักษณ์ นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมมาตลอด ส่วนวลีที่ว่า the cybernetic body, its location in systems of control, information flows, feedback loops มาจากแนวคิดของไซเบอร์เนติกส์ (cybernetics) ซึ่งเป็นการศึกษาระบบควบคุมและการสื่อสารระหว่างสิ่งมีชีวิต เครื่องจักร และองค์กร รวมถึงแนวคิดเรื่องไซบอร์ก (cyborg) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี การอธิบายความหมายและขยายความให้ชัดเจนมากขึ้นได้แก่ 1. Cybernetic body (ร่างกายไซเบอร์เนติกส์) หมายถึงร่างกายที่ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบควบคุมและการสื่อสารที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิตกับเครื่องจักร หรือแม้แต่กับข้อมูลดิจิทัล ร่างกายนี้ไม่ได้เป็นเพียงร่างกายทางชีวภาพธรรมดา แต่รวมถึงการทำงานที่สัมพันธ์กับเทคโนโลยีและข้อมูล เช่น ร่างกายที่ติดตั้งเทคโนโลยีการแพทย์, เครื่องช่วยหายใจ, หรือแม้แต่การใช้งานสมาร์ทโฟนที่เชื่อมโยงกับข้อมูลดิจิทัลตลอดเวลา 2. Location in systems of control (ตำแหน่งในระบบควบคุม) ร่างกายไซเบอร์เนติกส์อยู่ในระบบของการควบคุมที่ซับซ้อน ซึ่งประกอบไปด้วยกลไกต่างๆ ที่ใช้ในการสั่งการหรือควบคุม ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมทางร่างกาย (การรักษาด้วยเครื่องมือทางการแพทย์) หรือการควบคุมทางสังคม (ผ่านการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารหรือระบบติดตามข้อมูล) เช่น การควบคุมการใช้งานเทคโนโลยีของบุคคลผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือการควบคุมการไหลของข้อมูลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ 3. Information flows (กระแสข้อมูล) หมายถึงการไหลของข้อมูลจากแหล่งหนึ่งไปยังอีกแหล่งหนึ่ง ในบริบทของร่างกายไซเบอร์เนติกส์ ข้อมูลอาจหมายถึงข้อมูลทางกายภาพ (เช่น สัญญาณประสาทที่ถูกตรวจสอบและวิเคราะห์โดยเครื่องมือทางการแพทย์) หรือข้อมูลดิจิทัล (เช่น ข้อมูลสุขภาพที่ถูกส่งผ่านแอปพลิเคชันสุขภาพ) ร่างกายของมนุษย์และเครื่องจักรมีส่วนร่วมในการสร้าง การรับ และการส่งข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ อย่างต่อเนื่อง 4. Feedback loops (วงจรย้อนกลับ) หมายถึงกระบวนการที่ข้อมูลหรือผลลัพธ์ของระบบหนึ่งถูกส่งกลับเข้าสู่ระบบนั้นเพื่อทำการปรับปรุงหรือควบคุมกระบวนการ ตัวอย่างเช่น ร่างกายของเราส่งสัญญาณทางประสาทไปยังสมอง และสมองก็ส่งคำสั่งกลับมาเพื่อควบคุมการทำงานของร่างกาย นอกจากนี้ในระบบดิจิทัลหรือเทคโนโลยี เราอาจเห็นได้ชัดเจนในกรณีของปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือระบบที่เรียนรู้จากข้อมูลย้อนหลังเพื่อปรับปรุงการทำงานของระบบเอง สรุปวลีที่บอกว่า the cybernetic body, its location in systems of control, information flows, feedback loops สื่อถึงร่างกายที่ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ซับซ้อนของการควบคุมและการสื่อสาร ร่างกายนี้เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีและข้อมูลดิจิทัล ผ่านกระบวนการการไหลของข้อมูลและวงจรการตอบสนอง ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการปรับปรุงและควบคุมการทำงานของทั้งร่างกายและระบบเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกัน วลีว่า And consisting of dispersed networks and flows rather than discrete entities/persons สื่อถึงแนวคิดที่มองว่าความเป็นจริงทางสังคมและวัฒนธรรมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากหน่วยที่มีอยู่แยกต่างหาก เช่น บุคคลหรือองค์กร แต่เกิดจากเครือข่ายที่กระจายและ การไหลของข้อมูล หรือ ทรัพยากร ที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน หากอธิบายความหมายในแต่ละส่วน อธิบายได้ว่า 1. Dispersed networks (เครือข่ายที่กระจาย) หมายถึงระบบที่ไม่มีศูนย์กลางที่ชัดเจนหรือโครงสร้างที่เข้มงวด เครือข่ายเหล่านี้อาจประกอบไปด้วยบุคคลหรือกลุ่มที่เชื่อมต่อกันผ่านความสัมพันธ์ทางสังคม เทคโนโลยี หรือข้อมูล โดยไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดบทบาทหรือสถานะที่แน่นอน 2. Flows (การไหล) การไหลหมายถึงการเคลื่อนที่ของข้อมูล ความคิด ทรัพยากร หรืออารมณ์ผ่านเครือข่ายต่าง ๆ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ การไหลนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในบริบทของการสื่อสาร การแลกเปลี่ยนความรู้ หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนที่ของบุคคลในพื้นที่ต่าง ๆ 3. Rather than discrete entities/persons (มากกว่าหน่วยที่แยกออกมา/บุคคล) แนวคิดนี้ท้าทายการมองที่เห็นบุคคลหรือองค์กรเป็นหน่วยที่มีความเป็นเอกเทศ ซึ่งมักถูกใช้ในการวิเคราะห์ทางสังคมในแบบดั้งเดิม การมองว่าเครือข่ายและการไหลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญกว่าหน่วยที่แยกออกมา ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ในสังคมได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเชิงรูปธรรม โซเชียลมีเดีย เครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น Facebook หรือ Twitter แสดงให้เห็นว่าข้อมูลและการสื่อสารเกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างผู้คนในรูปแบบที่ไม่จำกัด โดยไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างที่เข้มงวดหรือการจำกัดบทบาท การแพร่ระบาดของข้อมูลทั้ง ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หรือข่าวสารที่ไหลเวียนในสังคมผ่านช่องทางต่าง ๆ ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาหน่วยงานที่ชัดเจน สรุป วลีนี้สะท้อนถึงการมองที่แตกต่างจากการวิเคราะห์แบบดั้งเดิม โดยมุ่งเน้นไปที่ความสำคัญของเครือข่ายที่กระจายและการไหลของข้อมูล แทนที่จะมองบุคคลหรือองค์กรเป็นหน่วยที่แยกออกมา โดยช่วยให้เราเข้าใจความซับซ้อนและการเชื่อมโยงในสังคมได้ดีขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...