ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติศาสตร์ความคิดเรื่องการตายและการตายดี ในยุควิกตอเรียน โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

สไตล์คนที่สนใจประเด็นมานุษยวิทยาสุขภาพ มานุษยวิทยาการแพทย์ ในสังคมของเรา ความตายถือเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเอาชนะหรือยื้อยุดชีวิตให้ได้ หากมีคนเสียชีวิต คนบางคนอาจจะถามว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันการเสียชีวิต ถ้ามีใครฆ่าตัวตาย พวกเขาก็อาจจะพูดว่า “ฉันควรจะช่วยเขาก่อนที่จะสายเกินไป” ถ้ามีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน บางคนอาจจะบอกว่า “ฉันไม่ควรปล่อยให้เขาออกไปข้างนอกในคืนนั้น” ถ้ามีคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด บางคนอาจจะบอกว่า “พวกเขา ไม่ควรสูบบุหรี่มากนัก” หรือ “ถ้าเพียงแต่พวกเขาได้ปอดใหม่มาเปลี่ยนได้ทันเวลาเขาคงจะไม่ตาย” เนื่องจากความปรารถนาและความเชื่อต่อความตายเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะเห็นว่าอะไรถือเป็นความตายที่ “ดี” ในสังคมปัจจุบันของเรา ใครๆ ก็คิดว่าด้วยเทคนิคการป้องกันหรือแรงบันดาลใจในการรักษาหรือยื้อชีวิตโดยยาเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์สมัยใหม่ต่างๆ ความตายที่ดีก็อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป ความตายทั้งหมดนอกจากจะถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ต้องพิชิตหรือยื้อมันด้วย .. สิ่งนี้กลายเป็นปัญหาสำหรับคนป่วยและผู้ที่กำลังจะตายซึ่งไม่สามารถทำตามความปรารถนาของตัวเองที่จะตาย อย่างมีศักดิ์ศรีได้อีกต่อไป ในการดูและฟังข้อความจากสือโฆษณาทางทีวี เราจะพบว่าแนวคิดนี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาชีวิต การประกันสุขภาพ อาหารเสริมสุขภาพ การชะลอความแก่ และอื่นๆ ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าพวกเราต้องการสร้างโลกที่ไม่มีความตาย แต่ในขณะเดียวกันจินตนาการของการเลือกตาย ก็ปรากฏในภาพยนตร์อย่างเช่น ผู้สูงอายุใน The Giver ที่สามารถตั้งโปรแกรมการตายก่อนที่เราจะแก่เกินไปและสูญเสียตำแหน่งในสังคม แม้ว่านี่จะเป็นมุมมองที่น่าสนใจและทำให้เกิด "ความตายที่ดี" ซึ่งทุกคนจะได้รับความสุขและเหมาะสม แต่ก็ยากที่จะจินตนาการว่าสิ่งนี้จะได้รับการยอมรับในวัฒนธรรมที่ไม่ยอมรับการฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์ ความตายมักถูกเรียกว่า ''last great taboo' แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป รายงานการศึกษาและการวิจัยจำนวนมากในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติทางวัฒนธรรมและสังคมต่อความตาย ชาวอียิปต์โบราณและชาวจีนมีชื่อเสียงในการฝังศพไว้ในห้องที่ตกแต่งด้วยตุ๊กตา เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ และงานศิลปะ Nicolas Penny ผู้เขียนหนังสือ 'Mourning' เขียนว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของขวัญสำหรับผู้วายชนม์ ประเพณีนี้ยังคงเกิดขึ้นในรูปแบบของพวงหรีดงานศพ แม้จะรู้ว่าคนตายจะไม่ใช้สิ่งเหล่านี้ก็ตาม แต่มันก็เป็นการให้หรือเสียสละของผู้สูญเสีย ศิลปะแห่งความตาย' โดย Nigel Llewellyn แสดงให้เห็นโครงกระดูกเล็กๆ ในโลงศพบนหน้าปก ผู้เขียนถือว่าความตายมีสี่สิ่ง: 1.เป็นภาวะชั่วครู่หนึ่ง 2.กระบวนการของการทำให้เป็นเรื่องของพิธีกรรม 3.ความตายเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ 4. ความตายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม เมื่อสำรวจพิธีกรรมของมนุษย์ที่ตอบสนองต่อความตายซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16-18 บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้มักมาพร้อมกับสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมทางการมองเห็นมากมาย ดังภาพของกะโหลกและกระดูกไขว้บนหลุมศพ กะโหลกและโครงกระดูก 'momento mori' ซึ่งปรากฏบนช้อน ภาพแกะสลักไม้ และหินหลุมศพ เตือนให้นึกถึงการมีชีวิตอยู่ของพวกมันเอง พวกเขาช่วยเตรียมวิญญาณให้พร้อมรับความตาย ภาพแห่งความตายยังปรากฏบนเครื่องประดับสำหรับการไว้ทุกข์ในรูปแบบของกะโหลกที่ประดับเพชรบนดวงตา โทเค็นเหล่านี้และสัญลักษณ์อื่นๆ ซึ่งมักบรรจุเส้นผมของผู้ตาย ทำให้ผู้สูญเสียรู้สึกสบายใจว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบที่ยอดเยี่ยม ของชาววิกตอเรียที่เกี่ยวกับความคิดเรื่องของ 'ความตายที่ดี' ทุกวันนี้ความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงดำรงอยู่ในชีวิตของเราและสวมอยู่บนร่างกาย สิ่งเหล่านี้มักสวมใส่เป็นแหวนและต่างหู และพิมพ์ลงบนเครื่องประดับ เช่น ผ้าพันคอในอังกฤษ ทัศนคติต่อความตายเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ประมาณปี 1830 ดังที่ Pat Jalland อธิบายใน 'Death in the Victorian family' ในงานชิ้นนี้มีรูปเก่าของหญิงชาววิคตอเรียนบนเตียงป่วย ..ภายใต้แนวคิด 'ความตายที่ดี' ของชาววิกตอเรียนั้นจำลองมาจากความเชื่อของผู้เผยแพร่ศาสนาที่เชื่อในการอยู่กับครอบครัวและสร้างสันติภาพกับพระเจ้า ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 การเสียชีวิตเกิดขึ้นบ่อยเกินกว่าจะปฏิเสธได้ เป็นผลให้ชาววิกตอเรียสนับสนุนให้มีความใกล้ชิดกับผู้เสียชีวิต ที่เผชิญกับการตายอย่างช้าๆ เช่น วัณโรค ได้รับบรรยากาศแบบอบอุ่นโรแมนติก และให้เวลามากมายสำหรับการฟื้นฟูและเสริมแรงจากฝ่ายวิญญาณ(ศาสน) และการผลิตภาพวาดและบันทึกความทรงจำของผู้คนที่ใกล้จะตายหรือตายไปแล้ว แต่ทว่าสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเปลี่ยนทัศนคติไปสู่ความตายและความตาย ในช่วงประมาณปี 1870 ทัศนคติต่อความตายเริ่มเปลี่ยนไปเมื่ออัตราการเสียชีวิตลดลงและอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมไปกับความศรัทธาของชาวคริสต์ลดน้อยลง ผู้คนก็เริ่มมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บด้วย มีความกังวลและความกลัวเกี่ยวกับการตายอย่างรวดเร็วโดยปราศจากความเจ็บปวด มากกว่าที่จะเตรียมความพร้อมทางจิตวิญญาณ ในขณะเดีวกันการเปลี่ยนแปลงของการกลับมาสู่การตั้งคำถามต่อเรื่องการตายในปัจจุบัน กับการรื้อฟื้นเรื่องของการตายดีกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในข่วงส่งครามโลกครั้งที่หนึ่ง มันเป็นสงครามซึ่งทำให้พิธีกรรมที่กำลังจะตายและการไว้ทุกข์ของชาววิกตอเรียถูกรื้อถอนอย่างแท้จริง การสูญเสียชีวิตครั้งใหญ่กระทบกับความรู้สึกของผู้คนนับล้าน ความบอบช้ำทางจิตใจจากการตายอย่างรุนแรง ที่พวกเขาฝังร่างในดินแดนที่ก่างไกล บางส่วนนำศพกลับบ้านไม่ได้ สภายะที่ห่างไกลจากครอบครัว และความเศร้าโศกของมวลชนที่ตามมาไม่สามารถลบล้างภาพลักษณ์อันแสนอ่อนโยนของความคิดเรื่อง 'การตายที่ดี' ได้อีกต่อไป นอกจากนี้ การระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ในปี 1918-1919 ยังทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและการฝังศพที่รวดเร็วมากขึ้น ดังรายงานการเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในสกอตแลนด์แสดงให้เห็น เชื่อกันว่าสิ่งที่เรียกว่า 'ไข้หวัดใหญ่สเปน' ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคนทั่วโลก ที่แสดงให้เห็นความล้มเหลวทางการแพทย์ภายใต้จุดจบตามธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ ในปี 1969 หนังสือของ Elizabeth Kübler-Ross เรื่อง 'On death and Dying' ซึ่งมีเนื้อหาความเศร้าโศก 5 ขั้น ได้เปิดเผยอารมณ์ของประสบการณ์แห่งความตายในศตวรรษที่ 20 อย่างเปิดเผย ถึงสภาวะที่คนจะต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยและความตายในไม่ช้า ตั้งขั้นปฎิเสธ ขั้นแยกตัว ขั้นหดหู่ซึมเศร้า ขั้นต่อรอง และขั้นยอมรับ ขั้นสุดท้ายคือการแสวงหาความสุขสุดท้ายของชีวิต หรือการเตรียมความพร้อมในเส้นทางอันเป็นนิรันดร์ รวมถึงการเกิดขึ้นของหนังสือของอีวาน อีลิช เรื่องหมอกับเทพเจ้ากาลี ระบบทุนนิยมที่เขื่อมโยงกับจริยธรรมและการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ของหมอ ดังเช่น กรณีของ Shipman ทำให้เกิดการกระตุ้นให้มีการตรวจสอบระบบของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพและใบรับรองการเสียชีวิตทางการแพทย์ หลังจากที่ดร. Harold Shipman ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆาตกรรมผู้ป่วยในปี 2000 รวทถึงการศึกษาเรื่อง 'การดูแลและเคารพในความตาย' แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในนโยบายสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และหนังสือ 'When someone death' ที่มุ่งเป้าไปที่ปรากฏการณ์ที่คนหนุ่มสาวในปัจจุบัน สร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบทางร่างกายและอารมณ์ของความเศร้าโศก ที่สะท้อนว่าเราอยู่ในจุดเปลี่ยนที่เรื่องของ'ความตายที่ดี' กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่และรื้อฟื้นใหม่ในศตวรรษที่ 21 ***หนังสือ*** 1.'Finer than gold: saints and their relics in the Middle Ages', by James Robinson, (London: British Museum Press, 2011). 2.'Care and respect in death published by the Department of Health', (London: Department of Health, 2006). 3. “When someone dies: How to cope when someone dear to you is gone', by John Wallace, (Edinburgh: NHS Health Scotland, 2011). 4.'The Shipman Inquiry: Third report: Death certification and the investigation of deaths by coroners presented to Parliament by the Secretary of State for the Home Department and the Secretary of State for Health', by Dame Janet Smith. (London: Stationery Office, 2003). 5. 'Mourning', by Nicholas Penny, (London: HMSO, 1981). 6. 'The art of death: Visual culture in the English death ritual c.1500-c.1800', by Nigel Llewellyn, (London: Victoria and Albert Museum, 1991).

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...