The truth is, once you learn how to die, you learn how to live.” By Mitch Albom in Tuesdays with Morrie
“ความจริงก็คือ เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะตาย คุณจะได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่”
เราจะพบว่ามีงานวรรณกรรมจำนวนมากอธิบายถึงแนวทางเชิงบวกในการตาย ตัวอย่างเช่น ในเรื่อง “Tuesdays with Morrie ที่มิทช์ อัลบอมไปเยี่ยมอดีตศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาของเขาที่ชื่อ Morrie Schwartz ซึ่งได้ให้บทเรียนเกี่ยวกับการยอมรับ การสื่อสาร และการให้ความรักท่ามกลางกระบวนการที่กำลังจะตายของตัวเขาเอง
หรืองานอีกชิ้นอย่าง “Man’s Search for Meaning”ของ Viktor Frank ได้บรรยายประสบการณ์ในค่ายกักกันของนาซีที่นำไปสู่การค้นพบความหมายในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานและความตาย
นอกจากนี้ ยังมีงานเรื่อง “The Last Lecture” ของ Randy Pausch ที่เขาพูดถึงเหตุการณ์หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะลุกลาม เขาตั้งคำถามกับตัวแองว่าจะใช้ชีวิตและยอมรับทุกช่วงเวลาอย่างแท้จริงได้อย่างไร “เมื่อเวลาคือสิ่งเดียวที่คุณมีและวันหนึ่งคุณอาจพบว่าคุณมีน้อยกว่าคุณคิด…” ซึ่งเป็นคำกล่าวสุนทรพจน์ในงานรับปริญญาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
รวมถึง Steve Jobs ภายหลังการวินิจฉัยโรคมะเร็งเมื่อไม่นานมานี้ เขาเรียกความตายว่า “น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดแห่งชีวิต” (very likely the single best invention of life) ซึ่งเขาได้บรรยายโดยเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตและมีความหมายต่อเขาในขณะที่เขาเผชิญหน้ากับความตาย
หรือย้อนกลับไปในข่วงศตวรรษที่19 ที่มีวรรณกรรมที่บันทึกเรื่องราวการเสียชีวิตของชาวนาฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ที่บรรยายว่า“เธอติดเชื้ออหิวาตกโรคในฤดูร้อน หลังจากนั้นสี่วันเธอก็ขอไปพบบาทหลวงประจำหมู่บ้านซึ่งมาและอยากจะทำพิธีสุดท้ายให้เธอ…”
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นมุมมอง3 เรื่อง ได้แก่
ประเด็นแรก ทำให้เรามองเห็นว่าเห็นผู้หญิงคนนี้ต้องการเสียชีวิตอย่างดีตามความเชื่อในสังคมของเธอ ในเรืองศาสนาซึ่งเป็นแสงสว่างในชีวิตของเธอ ซึ่งสิ่งนี้แตกต่างอย่างมากจากการตายที่ดีของสังคมตะวันตกสมัยใหม่ ที่ผู้คนต้องการพบนักบวชไม่ใช่แพทย์ ไม่เหมือนในปัจจุบันที่การตายไม่ได้ถูกปกครองโดยศาสนา แต่ถูกปกครองควบคุมโดยการแพทย์
ประเด็นที่สอง
ประเด็นที่สอง เธอเสียชีวิตในชุมชนท้องถิ่นที่ทุกคนรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง ในปัจจุบัน การดูแลแบบประคับประคองสนับสนุนให้บุคคลจัดวางบทของตนเองเกี่ยวกับการเสียชีวิตและการใช้ชีวิตที่ใกล้จะตาย เช่นเดียวกับที่พวกเขาวางแนวทางเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ประการที่สาม จากเนื่้อเรืองสันนิษฐานว่าเธอจะเสียชีวิตภายในไม่กี่วันด้วยโรคติดเชื้อ ในทุกวันนี้เรามีคงามก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การชะลอความแก่ การต้านความตาย เรากำลังดิ้นรนเพื่อเรียนรู้วิธีที่จะเตรียมตัวตายในฐานะที่ความตายเป็นธรรมชาติน้อยลง
การตายที่ดีนั้นจึงขึ้นอยู่กับสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล บรรทัดฐานของการตายที่ดีจึงแตกต่างกันไปในสังคมพหุวัฒนธรรม
ตัวอย่างเช่น ในวัฒนธรรมอินเดีย คนในชุมชนจะเก็บรักษาคนชราเอาไว้ที่บ้าน เพราะพวกเขามีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะตายที่บ้าน แต่ในยุคปัจจุบันผู้คนคาดหวังให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพทำเช่นนั้นแทนผู้สูงอายุของครอบครัว
ตัวอย่างวรรณกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นโครงสร้างต่างๆทางความคิดว่าด้วยเรื่องของการตายที่ดีหรือ “Good Death”
เมื่อย้อนไปดูวัฒนธรรมในสังคมชนเผ่า การเป็นส่วนหนึ่งของชนเผ่าคือการยึดมั่นในศาสนาหรือความเชื่อบางอย่างของชนเผ่า ในหลายสังคม ศาสนาของสังคมนั้นเป็นที่คาดหวังให้สมาชิกของสังคมยึดมั่นในศาสนา ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวผู้คนในสังคมเข้าไว้ด้วยกันในฐานะสมาขิกของสังคม
การตายของสมาชิกคนใดคนหนึ่งถือเป็นบ่อนทำลายสายสัมพันธ์ของครอบครัว ชุมชน และแม้แต่ สำหรับบุคคลที่มีสถานะทางสังคมสูง ดังนั้นจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่ความตายจะได้รับการจัดการตามความเหมาะสม แบละจำเป็นต้องมีพิธีกรรมทางศาสนา เพราะเป็นพิธีกรรมที่ยึดโยงกลุ่มเข้าด้วยกันในเวลาที่สังคมถูกคุกคามจากความตายและการสูญเสียมากที่สุด
ทัศนะเกี่ยวกับความตายในหนังสือที่ปรากฏในปัจจุบัน สะท้อนว่าสังคมที่ถูกครอบงำและบ่มเพาะควมคิดนี้ด้วยอิทธิพลทางศาสนาฮินดู ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ ศาสนายิว และศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
แต่ทว่าในสังคมตะวันตกสมัยใหม่หลายแห่งกลับไม่เป็นอย่างนั้น เนื่องด้วยประการแรก หลายคนได้รับอิทธิพลจากนิกายโปรเตสแตนต์ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชื่อที่ว่าไม่มีสิ่งใดที่คนเป็นสามารถทำได้เพื่อช่วยให้วิญญาณผ่านพ้นไปหลังความตายได้ ประการที่สอง สังคมยุโรปส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีความเป็นฆราวาสมี่เน้นเรื่องของโลกียะมากกว่าโลกุตระเป็นอย่างมาก โดยมีเพียงประมาณ 40% ของชาวยุโรปเท่านั้นที่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย แม้ว่าสิ่งนี้จะมีจำนวนสูงถึง 75% สำหรับชาวไอริช (เหนือและใต้) และสำหรับชาวอเมริกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าสำหรับหลาย ๆ คนในปัจจุบันนี้จึงไม่มีชีวิตหลังความตายที่จะต้องเตรียมตัว ที่สำคัญกว่านั้น ไม่ว่าปัจเจกบุคคลจะเชื่ออะไรก็ตาม สถาบันทางสังคมสมัยใหม่ก็จะเชื่อว่านี่คือชีวิตเดียวของมนุษย์ ในขณะที่ส่วนหนึ่งก็ยังคงเชื่อในศาสนา
ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณา ประการที่สามก็คือ ศาสนากลายเป็นทางเลือกส่วนบุคคล ในตอนแรกอาจจะหมายถึงการเลือกที่จะเลือกนับถือศาสนาหรือนิกายใดนิกายหนึ่ง แต่หากมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายถึงการพัฒนาจิตวิญญาณส่วนบุคคลของตนเอง ซึ่งเชื่อมโยงกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งหรือไม่มีเลย หรืออาจปะปนและจับคู่กันได้ อำนาจสูงสุดไม่ใช่อำนาจของชุมชนที่ตนเองเป็นสมาชิก หรือข้อความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาที่กำหนดให้ตนเลือกเดิน หากแต่เป็น "สิ่งที่ใช้ได้ผลสำหรับฉัน" (what works for me) มันคือการช่วยให้ผู้ป่วยค้นพบจิตวิญญาณของตนเอง และค้นหาเส้นทางของตนเองผ่านการเจ็บป่วยหรือความตาย การเคลื่อนไหวของบ้านพัก Hospics ในประเทศตะวันตกในหลายประเทศก็เป็นเช่นนั้น หรือสถานพยาบาลในประเทศอื่น ๆ ก็มีการปฏิบัติทางศาสนาแบบดั้งเดิมมากกว่าบนเตียงในโรงพยาบาล
โดยการเพิ่มขึ้นของความสัมพันธ์แบบปัจเจกบุคคลระหว่างปัจเจกบุคคลและผู้ช่วยให้รอดหรือผู้ดูแลพวกเขา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนที่การดูแลแบบประคับประคองสมัยใหม่เริ่มต้นขึ้นในอังกฤษ มีการวางรากฐาน และพัฒนามาอย่างง่ายดายในสหรัฐอเมริกาและอดีตอาณานิคมอื่นๆ พร้อมกับปรากฏการณ์ของการต่อสู้ดิ้นรนและต่อรองในประเทศต่างๆ เช่น อิตาลี ซึ่งเป็นสังคมที่ครอบครัวมีความสำคัญเหนือกว่าปัจเจกบุคคลแต่ละบุคคล หรือญี่ปุ่นที่มีลำดับชั้นทางอำนาจและคำสั่งของแพทย์ มีน้ำหนักมากกว่าความพึงพอใจหรือความเห็นชอบของผู้ป่วย
ในปัจจุบัน ภายในชุมชนด้านการดูแลสุขภาพและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านพักคนชราและการดูแลแบบประคับประคอง มีการพูดคุยกันถึงแนวคิดเรื่องการตายที่ดี แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากขบวนการบ้านพักรับรองของคณะนักบวช (hospice ) และได้รับการอธิบายว่าเป็นชุดของประสบการณ์ที่หลากหลายเฉพาะตัวปัจเจกบุคคล
ตามรายงานของสถาบันการแพทย์ที่ตีพิมพ์เมื่อ 19 ปีที่แล้ว การตายที่ดีคือการเสียชีวิตที่ปราศจากความทุกข์ทรมานและความทุกข์ยากที่สามารถหลีกเลี่ยงได้สำหรับผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล ซึ่งสอดคล้องกับความปรารถนาของผู้ป่วยและครอบครัว และสอดคล้องกับมาตรฐานทางคลินิก วัฒนธรรม และจริยธรรม แนวคิดนี้ได้รับความในหลายสาขาวิชา รวมถึงการแพทย์ จิตวิทยา เทววิทยา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความหมายที่ขึ้นอยู่กับมุมมองของบุคคลที่กำลังจะตายมากกว่า
ดังนั้นเราจะพบคำว่า “การตายที่ดี” (good death ) หรือ “การตายที่ประสบความสำเร็จ” (successful dying) ที่มองว่าตายที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับผู้ป่วย สมาชิกในครอบครัว และผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ (HCP)
**บทสรุป***
1.การตายที่ดีขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงเมื่อกาลเวลาผ่านไป
2.มีแนวคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความตายที่ดี โดยเฉพาะในสังคมพหุวัฒนธรรม
3 ลัทธิศาสนาและฆราวาสนิยมมีอิทธิพลต่อแนวคิดเกี่ยวกับความตายที่ดี
4 สังคมปัจเจกนิยมส่งเสริมเอกราชหรืออิสระส่วนบุคคลของผู้กำลังจะตาย รวมถึงการดูแลแบบประคับประคองและการการุณยฆาตโดยสมัครใจ
5. ภาวะการรับรู้ถึงการตายเร็วและตายช้า
ในปัจจุบัน การแพทย์แผนปัจจุบันสามารถวินิจฉัยโรคร้ายแรงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม และการติดเชื้อเอชไอวี พวกเราอยู่ในบริบทที่รับรู้ว่าเราหรือคนที่เรารัก เป็นโรคที่คุกคามถึงชีวิตและคาดคะเนถึงการตายและการมีชีวิตอยู่ได้ไม่ชัดเจน แพทย์อาจบอกเราว่าอาจเป็นเดือนหรือหนึ่งปีหรือสองปีก็ได้ คำถามที่ว่าเราจะตายได้ดีในวันนี้ได้อย่างไร คือ จะอยู่อย่างไรเป็นเดือนหรือเป็นปี โดยรู้ว่าเรากำลังจะตายให้มีความสุข คำถามนี้คือสิ่งที่ทั้งฝ่ายการดูแลแบบประคับประคองและการเคลิ่อนไหวของกลุ่มคนที่พูดถึงการการุณยฆาตกำลังพูดถึงและถกเถียงกันอยู่ และยังเป็นคำถามที่หลายๆ ฃคนที่ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือสมองเสื่อมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจัดการอย่างไร
แต่ในขณะเดียวกัน เราจะเห็นการเติบโตของตลาดว่าด้วยความตายในสังคมต่างๆ ที่ได้พัฒนาความรู้เรื่องนี้ ทั้งหนังสืออัตชีวประวัติ(ที่ผู้เผชิญหน้ากับความตายเขียน พระเขียน นักบวชเขียน แพทย์เขียน) คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ และรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการตายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแจ้งให้สังคมที่สับสนว่าการตายด้วยโรคมะเร็งเป็นอย่างไร โรคโควิด19เป็นอย่างไร หรือการดูแลผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์น้องทำอย่างไร เรากำลังเห็นการพัฒนาของตลาดใหม่ว่าด้วย ศิลปะแห่งความตายและศิลปะของการใช้ชีวิตในสภาวะใกล้ตาย พร้อมการเกิดขึ้นของสถาบัน องค์กรรัฐและเอกชน โรงพยาบาล วัด Hospics และอื่นๆที่สนใจในประเด็นเรื่องการตายดี การดูแลผู้ป่วยแบบประคุบประคอง
ภาพของสังคมชนบทกลับมา …สังคมชนบทที่ผู้คนเสียชีวิตที่บ้าน รายล้อมไปด้วยครอบครัวและเพื่อนบ้าน และช่วยในพิธีกรรมของพระหรือนักบวช จนมาถึงในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ที่ผู้คนส่วนใหญ่เสียชีวิตในโรงพยาบาล โดยมีท่อช่วยหายใจ สายออกซิเจน พยาบาล และแพทย์ประจำบ้านรายล้อม
สุดท้ายขอยกคำทำนายของผู้ก่อตั้ง BACUP (สมาคมผู้ป่วยโรคมะเร็งแห่งอังกฤษ) ซึ่งพยายามผสมผสานความรู้ทางการแพทย์เข้ากับความรู้ของผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขาว่า
“ในที่สุดฉันก็ได้พบกับผู้ป่วยอายุน้อยที่เป็นมะเร็งรังไข่ เราแบ่งปันประสบการณ์ของเรา... ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงตระหนักว่าผู้ป่วยรายอื่นสามารถให้สิ่งพิเศษแก่ฉัน ซึ่งฉันไม่สามารถได้รับจากแพทย์หรือพยาบาล ไม่ว่าจะมีความเอาใจใส่แค่ไหนก็ตาม”
อ้างอิง
1. Ariès P. The hour of our death. London: Allen Lane, 1981: 10.
2. Durkheim E. The elementary forms of the religious life. London: Unwin, 1915.
3. Firth S. Approaches to death in Hindu and Sikh communities in Britain. In: Dickenson D, Johnson M, eds. Death, dying and bereavement. London: Sage, 1993.
4. Walter T. The eclipse of eternity: a sociology of the afterlife. Basingstoke: Macmillan, 1996: 32-3
5. Walter T. The ideology and organization of spiritual care: three approaches. Palliat Med 1997;11: 21-30. [PubMed] [Google Scholar]
6. Macfarlane A. The origins of English individualism. Oxford: Blackwell, 1978.
7. Gittings C. Death, burial and the individual in early modern England. London: Croom Helm, 1984.
8. Stannard D. The Puritan way of death. New York: Oxford University Press, 1977.
9. Pellegrino E. Is truth telling to the patient a cultural artifact? JAMA 1992;268: 1734-5. [PubMed] [Google Scholar]
10. Paton L, Wicks M. The growth of the hospice movement in Japan. Am J Hosp Palliat Care 1996:13: 26-31. [PubMed] [Google Scholar]
11. Diamond J. C: because cowards get cancer too. London: Vermillion, 1998.
12. Bayley J. Iris and the friends: a year of memories. London: Abacus, 2000.
13. Walter T. The revival of death. London: Routledge, 1994.
14. Seale C. Heroic death. Sociology 1995;29: 597-613. [Google Scholar]
15. Clement-Jones V. Cancer and beyond: the formation of BACUP. BMJ 1985;219: 1021-3. [PMC free article] [PubMed] [Google Scholar]
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น