ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดปรากฏการณ์วิทยากับการประยุกต์ใช้ในทางมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology)เป็นแนวคิดทางปรัชญาที่มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์และการรับรู้โลกที่เราสัมผัสอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่อาศัยการตีความหรือการนำแนวคิดภายนอกเข้ามาเป็นตัวกำหนด ปรากฏการณ์วิทยาพยายามที่จะ "ระงับ ยับยั้ง" (bracketing) การตัดสินที่เกี่ยวกับความจริงภายนอกหรือวัตถุประสงค์ เพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์และการรับรู้เชิงอัตวิสัย (subjective experience) ของมนุษย์อย่างแท้จริง องค์ประกอบของปรากฏการณ์วิทยา 1. การระงับการตัดสิน (Epoché)การหยุดใช้สมมติฐานเกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่นอกประสบการณ์ตรง เช่น การไม่ตัดสินว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรตามที่เข้าใจจากความรู้วิทยาศาสตร์หรือจากค่านิยมทางสังคม แนวคิดนี้ต้องการให้ผู้ศึกษามุ่งเน้นเฉพาะประสบการณ์ตรงของตนเอง 2. การวิเคราะห์ประสบการณ์ (Intentionality) การรับรู้และประสบการณ์ทั้งหมดของมนุษย์เป็นการมีเจตนาต่อบางสิ่ง หมายความว่าประสบการณ์ใดๆ เกิดขึ้นเพราะมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เช่น การมองเห็นหมายถึงการมองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การคิดหมายถึงการคิดเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 3. การปิดล้อมโลกภายนอก (Phenomenological Reduction) เป็นกระบวนการที่พยายามมองข้ามหรือยับยั้งการมองโลกตามที่เราเคยเข้าใจ (เช่นในเชิงวิทยาศาสตร์หรือปรัชญา) และทำการศึกษาเฉพาะกับการรับรู้และประสบการณ์ตรงที่เรามีในขณะนั้น 4. ความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์และการรับรู้ (Noema และ Noesis) ในการรับรู้ใดๆ มักจะมีทั้งตัวประสบการณ์ (noesis) และสิ่งที่ถูกประสบ (noema) ปรากฏการณ์วิทยาจะศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่รับรู้และวิธีการที่เรารับรู้สิ่งนั้นฃ 5.อัตลักษณ์และความเป็นตัวตน ในโลกแห่งชีวิต (Lifeworld) ปรากฏการณ์วิทยามุ่งเน้นการสำรวจประสบการณ์ใน "โลกชีวิต" (Lifeworld) ซึ่งเป็นสภาวะแวดล้อมที่เราดำเนินชีวิต ประสบการณ์ในโลกชีวิตนี้มักถูกมองข้าม แต่เป็นพื้นฐานที่ทำให้เรามีความรู้สึกเป็นตัวตน นักปรัชญาที่น่าสนใจในปรากฏการณ์วิทยา 1. Edmund Husserl (1859-1938) ผู้ก่อตั้งและก่อร่างแนวติดปรากฏการณ์วิทยา แนวคิดของเขามุ่งเน้นที่การทำความเข้าใจการรับรู้เชิงอัตวิสัยและการพยายามกำจัดการตัดสินเชิงวัตถุภายนอก เขาเสนอว่าการศึกษาปรากฏการณ์จะต้องเริ่มต้นจากประสบการณ์ของมนุษย์โดยตรง และพยายามหลีกเลี่ยงการตีความที่อิงจากแนวคิดเดิมหรือการตัดสินล่วงหน้า
2. Martin Heidegger (1889-1976) แม้ว่าเขาจะเป็นลูกศิษย์ของ Husserl แต่พัฒนาปรากฏการณ์วิทยาไปในทิศทางของการศึกษาความเป็นอยู่ (Being) และการดำรงอยู่ของมนุษย์ในโลก แนวคิดของเขาเกี่ยวกับ "Dasein" (การดำรงอยู่) มุ่งเน้นการสำรวจว่ามนุษย์ดำรงอยู่ในโลกอย่างไร และการรับรู้สภาวะการดำรงอยู่นี้มีผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิต
3. Maurice Merleau-Ponty (1908-1961) พัฒนาปรากฏการณ์วิทยาในด้านของร่างกาย (Embodiment) โดยมองว่าร่างกายเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์และการรับรู้ มนุษย์ไม่ได้รับรู้โลกเพียงด้วยความคิด แต่ผ่านการมีร่างกายที่สัมผัสกับโลก การรับรู้และประสบการณ์ของมนุษย์จึงเชื่อมโยงกับร่างกายและความรู้สึก
4.Jean-Paul Sartre (1905-1980) โดย Sartre ใช้ปรากฏการณ์วิทยาในการศึกษาการดำรงอยู่ของมนุษย์ในเชิงเสรีภาพและความรับผิดชอบ เขาเน้นการแสดงออกของมนุษย์ในการสร้างความหมายให้กับชีวิตของตนเอง แนวคิด "Being-for-itself" และ "Being-in-itself" ของเขาเกี่ยวข้องกับการศึกษาความเป็นตัวตนและการมีเสรีภาพในการสร้างตัวตนของมนุษย์
5. Simone de Beauvoir (1908-1986) นักปรัชญาและนักสตรีนิยมที่นำแนวคิดปรากฏการณ์วิทยามาใช้ในงานของเธอ โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับเพศและความไม่เท่าเทียมทางเพศ ในหนังสือ The Second Sex เธอวิเคราะห์ว่าการเป็นหญิงไม่ได้เป็นธรรมชาติ แต่เป็นการสร้างทางสังคมที่มากับความคาดหวังและโครงสร้างอำนาจ
การประยุกต์แนวคิดและการนำไปใช้ ปรากฏการณ์วิทยาถูกนำไปใช้ในหลายสาขา เช่น ปรัชญา จิตวิทยา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจวิธีที่มนุษย์รับรู้โลกและสร้างความหมายในประสบการณ์ต่างๆ ในการศึกษาเรื่องเพศ เช่น Transgender หรือ Trans men แนวคิดนี้จะช่วยในการเข้าใจประสบการณ์ภายในของพวกเขา โดยไม่มองผ่านกรอบของค่านิยมสังคม แนวคิดปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) สามารถนำมาใช้ศึกษา Trans men และ Transgender โดยการสำรวจประสบการณ์ของบุคคลเหล่านี้จากมุมมองของพวกเขาเอง ซึ่งปรากฏการณ์วิทยามุ่งเน้นที่การทำความเข้าใจประสบการณ์ที่บุคคลรับรู้และรู้สึกถึงโลกโดยตรง โดยไม่พึ่งพาการตีความหรือทฤษฎีที่มีล่วงหน้า การใช้ปรากฏการณ์วิทยาในการศึกษา Trans men และ Transgender 1. ประสบการณ์ส่วนบุคคล การทำความเข้าใจว่า Trans men และบุคคล Transgender ประสบการณ์การรับรู้เพศของตนอย่างไรในชีวิตประจำวัน การรับรู้ร่างกาย และความรู้สึกของพวกเขาเมื่อเผชิญกับความคาดหวังทางสังคมเกี่ยวกับเพศ สามารถช่วยให้เราเข้าใจว่าเพศสภาพของพวกเขาถูกสร้างขึ้นและเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างไร 2. ร่างกายและอัตลักษณ์ การศึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกที่ Trans men มีต่อร่างกายของตนเองก่อนและหลังการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ (หากมี) หรือความรู้สึกต่อการแสดงออกทางเพศในบริบทที่แตกต่างกัน แนวคิดปรากฏการณ์วิทยามุ่งเน้นว่าการมีอยู่ของร่างกายเป็นอย่างไรในโลกของพวกเขา และพวกเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจอย่างไร 3. การสร้างความหมายของเพศ ซึ่งแนวคิดปรากฏการณ์วิทยาสามารถใช้ศึกษาได้ว่า Trans men และบุคคล Transgender สร้างความหมายให้กับอัตลักษณ์ทางเพศของตนอย่างไร โดยสำรวจความรู้สึกและประสบการณ์เชิงอัตวิสัย (subjective experiences) เช่น ความหมายของการเป็น "ชาย" หรือ "หญิง" มีการปรับตัวและการนิยามอัตลักษณ์เหล่านี้ในสังคมอย่างไร 4. การเผชิญกับข้อจำกัดทางสังคม ปรากฏการณ์วิทยามุ่งเน้นที่การทำความเข้าใจว่าบุคคล Trans men และ Transgender เผชิญกับโครงสร้างทางสังคมอย่างไร รวมถึงความคาดหวังทางวัฒนธรรม กฎเกณฑ์ทางสังคม หรือความเข้าใจเกี่ยวกับเพศในบริบทต่างๆ 5. การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นการทำความเข้าใจวิธีที่บุคคล Transgender มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับจากสังคม ผ่านการศึกษาในลักษณะของความรู้สึกต่อการถูกยอมรับหรือถูกปฏิเสธ แนวคิดปรากฏการณ์วิทยาสามารถช่วยเน้นไปที่การรับรู้ต่อสังคมและการแสดงออกถึงเพศในพื้นที่ต่างๆ การใช้ปรากฏการณ์วิทยาในบริบทของ Trans men และ Transgender ช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ซับซ้อนและหลากหลาย โดยการเน้นที่ประสบการณ์ภายในและการรับรู้ของพวกเขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...