A Silenced Rivers: The Ecology and Politics of Large Dams" by Patrick McCully
หนังสือคลาสสิกของ Patrick McCully ได้แสดงให้เห็นว่าทำไมเขื่อนขนาดใหญ่จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่มีความขัดแย้งอย่างมากทั้งในประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนา เขาอธิบายถึงประวัติศาสตร์และการเมืองของการสร้างเขื่อนทั่วโลก และชี้ให้เห็นว่าทำไมเขื่อนขนาดใหญ่จึงกลายเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งอย่างสูง มันลงรายละเอียดถึงผลกระทบทางนิเวศวิทยาและมนุษยธรรมจากเขื่อนขนาดใหญ่ และแสดงให้เห็นว่าข้ออ้างเรื่อง "ผลประโยชน์แห่งชาติ" ถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการที่ไม่คุ้มค่าและไม่เป็นธรรม ซึ่งให้ประโยชน์แก่กลุ่มชนชั้นสูงในขณะที่ทำให้คนนับสิบล้านยากจนลง
นอกจากนี้ยังอธิบายถึงปัญหาด้านเทคนิค ความปลอดภัย และเศรษฐกิจของเทคโนโลยีเขื่อน โครงสร้างของอุตสาหกรรมการสร้างเขื่อนระหว่างประเทศ และบทบาทของธนาคารและหน่วยงานให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ หนังสือยังเล่าเรื่องราวการเติบโตอย่างรวดเร็วของขบวนการต่อต้านเขื่อนในระดับนานาชาติ และบรรยายถึงการรณรงค์ต่อต้านเขื่อนที่สำคัญบางส่วนทั่วโลก
McCully แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้สนับสนุนเขื่อนและรัฐบาลได้ตอบสนองต่อการวิจารณ์อย่างไร โดยการปรับกระบวนการสร้างเขื่อนให้ดูเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างอย่างผิวเผิน และด้วยการกดขี่จากรัฐ หนังสือยังได้เสนอทางเลือกอื่น ๆ แทนการสร้างเขื่อน และโต้แย้งว่าการเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกที่มีความเสียหายน้อยกว่านั้น
Silenced Rivers: The Ecology and Politics of Large Dams ของ Patrick McCully เป็นหนังสือที่สำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งในแง่ของสิ่งแวดล้อมและการเมือง เขาได้ทำการสำรวจและชี้ให้เห็นว่าการสร้างเขื่อนนั้นสามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อแม่น้ำ ธรรมชาติ และชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โดยรอบได้อย่างไร แนวคิดหลัก ที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้คือ
1. ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
McCully เน้นย้ำว่าการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ทำให้ระบบนิเวศถูกทำลายอย่างรุนแรง แม่น้ำที่เคยไหลตามธรรมชาติกลับถูกควบคุมและกักเก็บน้ำ ซึ่งส่งผลให้ระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำถูกทำลาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของสัตว์น้ำ การสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์
2. ผลกระทบต่อชุมชน
เขื่อนขนาดใหญ่ยังทำให้ชุมชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต้องย้ายถิ่นฐาน สูญเสียที่ดินทำกินและวิถีชีวิตดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การสูญเสียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมจากการอพยพโยกย้ายออกไปอยู่ที่ใหม่ สังคมใหม่
3. การเมืองและเศรษฐศาสตร์
McCully ยังวิพากษ์การตัดสินใจสร้างเขื่อนว่าเป็นผลมาจากแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งมักจะมองข้ามผลกระทบที่มีต่อธรรมชาติและมนุษย์ด้วย เขาตั้งข้อสังเกตว่าโครงการเขื่อนขนาดใหญ่มักถูกสนับสนุนโดยรัฐบาลหรือองค์กรระหว่างประเทศที่มีอำนาจ แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับกลับไม่ได้ตกถึงประชาชนทั่วไปหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจที่ถูกหยิบยกคือ
1. เขื่อนสามผา (Three Gorges Dam) ในประเทศจีน
McCully ใช้กรณีของเขื่อนสามผาเพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ซับซ้อนและหลากหลายที่เกิดจากเขื่อนขนาดใหญ่ นอกจากจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว การสร้างเขื่อนสามผายังทำให้ผู้คนหลายแสนคนต้องย้ายถิ่นฐาน และทำให้พื้นที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหลายแห่งถูกทำลาย
2. เขื่อนในประเทศบราซิล:
หนังสือยังยกตัวอย่างการสร้างเขื่อนในลุ่มแม่น้ำอเมซอน ซึ่งส่งผลให้ป่าฝนเขตร้อนถูกทำลาย ชุมชนชนพื้นเมืองสูญเสียที่ดินทำกิน และเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ต่อระบบนิเวศที่เปราะบางของอเมซอน
Patrick McCully ได้ใช้มุมมองเชิงมานุษยวิทยามีบทบาทสำคัญในการทำความเข้าใจผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ แนวทางการศึกษาเชิงมานุษยวิทยาในบริบทนี้เน้นไปที่การสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันของการพัฒนาและเทคโนโลยี
มุมมองเชิงมานุษยวิทยาที่ปรากฏในการศึกษาของเขาคือ
1. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น
McCully เน้นย้ำถึงวิธีที่ชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ใกล้กับพื้นที่สร้างเขื่อนต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ เขาศึกษาว่าการสร้างเขื่อนนำไปสู่การสูญเสียวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างไร เช่น การเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปเป็นสังคมเมือง และการสูญเสียความรู้ทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับพื้นที่ท้องถิ่น
2. การย้ายถิ่นฐานและความยุติธรรมทางสังคม
การสร้างเขื่อนมักทำให้ชุมชนท้องถิ่นต้องถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน McCully พิจารณาว่าการย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเคลื่อนย้ายทางกายภาพ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งซึ่งทำให้ชุมชนสูญเสียความเชื่อมโยงกับพื้นที่ดั้งเดิมและประวัติศาสตร์ของพวกเขา
3. อำนาจและการตัดสินใจ
McCully ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของอำนาจและการตัดสินใจในกระบวนการสร้างเขื่อน โดยมองจากมุมมองมานุษยวิทยาที่เน้นถึงความไม่สมดุลของอำนาจระหว่างรัฐบาลหรือองค์กรขนาดใหญ่กับชุมชนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งมักจะไม่มีเสียงในการตัดสินใจเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขา
วิธีการศึกษาเชิงมานุษยวิทยาที่น่าสนใจ
1. Ethnography (ชาติพันธุ์วรรณนา)
McCully ใช้วิธีการแบบชาติพันธุ์วรรณนาในการศึกษาชีวิตของชุมชนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน โดยการสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ และการบันทึกเรื่องราวของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งทำให้เขาเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในระดับที่ลึกซึ้ง
2. Multi-sited Ethnography (ชาติพันธุ์วรรณนาหลายสถานที่)
เนื่องจากการสร้างเขื่อนมีผลกระทบในหลายภูมิภาคและหลากหลายชุมชน McCully ใช้การศึกษาในหลายสถานที่เพื่อเปรียบเทียบและทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่หลากหลาย การศึกษาแบบหลายสถานที่ทำให้เขาสามารถเชื่อมโยงผลกระทบในแต่ละพื้นที่เข้าด้วยกันและมองเห็นภาพรวมของผลกระทบที่เกิดจากการสร้างเขื่อนทั่วโลก
3. Participatory Research (การวิจัยแบบมีส่วนร่วม)
McCully ส่งเสริมการวิจัยที่ให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการศึกษา โดยให้พวกเขามีเสียงในการอธิบายผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขาเอง วิธีการนี้ช่วยสร้างความเข้าใจในเชิงลึกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการสร้างเขื่อน
มุมมองและวิธีการศึกษาที่ McCully ใช้ในหนังสือ Silenced Riversเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการฟังเสียงของชุมชนท้องถิ่นและการทำความเข้าใจผลกระทบที่ซับซ้อนจากการพัฒนาอย่างลึกซึ้งจากมุมมองมานุษยวิทยา
ดังนั้น Silenced Rivers จึงเป็นหนังสือที่นำเสนอข้อเท็จจริงและวิพากษ์เชิงลึกเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการคิดอย่างรอบคอบก่อนการสร้างเขื่อนและโครงการพัฒนาขนาดใหญ่
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น