ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การขับถ่ายและการฉี่ ในมุมมองทางมานุษยวิทยา โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

ว่าด้วยเรื่องการขับถ่าย การฉี่ และห้องน้ำ ในมุมมองทางมานุษยวิทยา ***ใครว่าเรื่องขับถ่าย การฉี่เป็นเรื่องส่วนตัว ?**** เริ่มต้นผมอยากทำความีเข้าใจพฤติกรรมทางสุขอนามัยและความหมายทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่าย ทั้งในแง่มุมทางประวัติศาสตร์และมิติทางสังคม รวมทั้งประวัติศาสตร์ของสุขอนามัยและการทำความสะอาดร่างกายในหลายวัฒนธรรม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกี่ยวกับสุขอนามัยของผู้หญิงและผู้ชายตลอดประวัติศาสตร์ ผมนึกถึงหนังสือเรื่อง The History of Shit (ประวัติศาสตร์ของอุจจาระ) เขียนโดย Dominique Laporte ถือ เป็นหนังสือที่สำรวจประวัติศาสตร์ของการขับถ่ายและการจัดการของเสียจากร่างกายในบริบทของสังคม การเมือง และวัฒนธรรม โดยเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความสะอาด สุขอนามัย และอำนาจทางสังคม การขับถ่ายว่าเป็น สัญลักษณ์ของการต่อต้านอำนาจและการปฏิเสธระเบียบสังคมแบบอนุรักษนิยม Laporte กล่าวถึงอุจจาระในวรรณกรรมหรือการแสดงออกผ่านงานศิลปะเป็นการตัดสินความเป็นไปของสังคมและการท้าทายต่อมาตรฐานทางศีลธรรมที่กำหนดโดยชนชั้นนำ แนวคิดสำคัญของLaporte เชื่อว่าการจัดการของเสียไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสุขอนามัย แต่ยังเป็นกระบวนการสร้างระเบียบและความเจริญทางสังคม Laporte สำรวจว่าอุจจาระและการจัดการของเสียถูกมองว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและต้องถูกกำจัดออกไปจากชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างไร และกระบวนการนี้มีผลต่อโครงสร้างทางสังคมและอำนาจอย่างไร Laporte เสนอมุมมองการผสมผสานการวิเคราะห์จากมุมมองของทฤษฎีฝรั่งเศส, จิตวิเคราะห์, และปรัชญาหลังสมัยใหม่ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงภาษาศาสตร์และวัฒนธรรม มองไปยังวิธีที่สังคมจัดการกับสิ่งสกปรกทั้งทางกายภาพและเชิงสัญลักษณ์ โดย มุมมองต่อเรื่องนี้ที่น่าสนใจอาทิเช่น 1. ความสะอาดและอำนาจทางการเมือง Laporte อธิบายว่าในช่วงศตวรรษที่ 16 การทำความสะอาดเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างรัฐและความเจริญ การจัดการของเสีย เช่น การสร้างท่อระบายน้ำในปารีส ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสุขภาพ แต่ยังเป็นวิธีที่รัฐบาลและผู้ปกครองใช้เพื่อควบคุมประชาชนและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเมือง ตัวอย่างรูปธรรม ระบบสุขาภิบาลในปารีส โดย Laporte กล่าวถึงการสร้างระบบสุขาภิบาลในปารีสช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการที่รัฐเข้ามาควบคุมการจัดการของเสียในเมืองใหญ่ นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของความสะอาด แต่ยังแสดงถึงอำนาจทางการเมืองและความพยายามที่จะสร้างระเบียบในสังคมเมือง ในศตวรรษที่ 19 การขยายตัวของระบบท่อระบายน้ำในปารีส (ที่รู้จักกันในชื่อ **Haussmann's renovation of Paris**) เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงสุขอนามัยเมือง เพื่อกำจัดของเสียอย่างเป็นระบบและลดการแพร่กระจายของโรค นี่เป็นตัวอย่างที่สำคัญของการที่การขับถ่ายเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการเมืองและการสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นระเบียบ การควบคุมพื้นที่สาธารณะผ่านการจัดการของเสียและการสร้างสุขอนามัยสาธารณะถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมพื้นที่สาธารณะ เช่น การสร้างห้องน้ำสาธารณะหรือกฎระเบียบในการขับถ่ายในเมือง เป็นการแสดงออกถึงการควบคุมของรัฐต่อพฤติกรรมส่วนตัว 2. การกำจัดของเสียและการกำกับดูแล การควบคุมสุขอนามัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างกฎเกณฑ์และความมีระเบียบทางสังคม Laporte ชี้ให้เห็นว่าการกำจัดของเสียถูกจัดการอย่างเป็นระบบและเป็นตัวอย่างของการที่รัฐเข้ามาควบคุมกิจกรรมส่วนตัวของประชาชน การขับถ่ายที่ถูกสุขลักษณะจึงสัมพันธ์กับพัฒนาเมือง เช่น การขับถ่ายในยุคกลาง ก่อนที่จะมีการพัฒนาระบบระบายน้ำหรือห้องน้ำสาธารณะ เมืองต่างๆ ในยุโรปมักเผชิญกับปัญหาความสะอาดอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่มีระบบการจัดการของเสียที่เหมาะสม ผู้คนขับถ่ายลงในถังหรือในพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งทำให้เกิดโรคระบาด เช่น กาฬโรค (Black Death) การพัฒนาสุขอนามัยในเมือง เช่น การสร้างท่อระบายน้ำและห้องน้ำสาธารณะ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของเมือง 3. ของเสียในมิติวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ Laporte วิเคราะห์ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของอุจจาระในวัฒนธรรมและวรรณกรรม โดยเชื่อมโยงกับความหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกปฏิเสธในสังคมและสิ่งที่ถูกกีดกันจากอารยธรรม เขาชี้ให้เห็นว่าการขับถ่ายถูกเชื่อมโยงกับการแสดงออกของความเป็นตัวตนและการต่อต้านอำนาจ Laporte แสดงให้เห็นว่าการขับถ่ายและการกำจัดของเสียไม่ได้เป็นเพียงเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน แต่ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับอำนาจและระเบียบทางสังคม การขับถ่ายจึงสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ Laporte นำเสนอว่าการขับถ่ายและของเสียถูกใช้เป็นเครื่องหมายที่แยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็น "อารยะ" และ "ไม่อารยะ" การจัดการของเสียจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม ผู้ที่สามารถรักษาความสะอาดได้ถูกมองว่าเป็น "คนดี" หรือ "คนอารยะ" ในขณะที่การไม่รักษาความสะอาดหรือมีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับของเสียถูกมองว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจและเป็นการถูกกีดกันทางสังคม Laporte กล่าวถึงการที่รัฐและชนชั้นนำในยุโรปใช้การจัดการสุขอนามัยเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็น "อารยะ" และควบคุมกลุ่มชนชั้นล่างหรือกลุ่มที่ถูกมองว่าเป็น "คนนอก" หรือ "คนไม่เจริญ" เช่น การบังคับให้ชนชั้นล่างใช้ระบบระบายน้ำใหม่ หรือการสร้างกฎหมายเพื่อควบคุมการขับถ่ายในพื้นที่สาธารณะ 4. ภาษากับการขับถ่าย Laporte สนใจว่าภาษาและการขับถ่ายถูกเชื่อมโยงกันอย่างไรในเชิงเปรียบเทียบ เขาอธิบายว่าภาษามีส่วนช่วยในการจัดหมวดหมู่สิ่งที่ "สะอาด" และ "สกปรก" และช่วยกำหนดโครงสร้างทางความคิดของ และการควบคุมมนุษย์ หรือในวรรณกรรมฝรั่งเศส Laporte ใช้วรรณกรรมฝรั่งเศสหลายชิ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องอุจจาระและการขับถ่ายถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์และการต่อต้านอำนาจในบางแง่มุม งานเขียนของ François Rabelais ในศตวรรษที่ 16 โดยเฉพาะในหนังสือ Gargantua and Pantagruel ที่ใช้การพูดถึงการขับถ่ายและการกินเป็นเครื่องมือในการเสียดสีสังคมและวิพากษ์วิจารณ์สถาบันศาสนาและการเมือง หนังสือของ Rabelais เต็มไปด้วยเรื่องราวของการกินและขับถ่ายที่แสดงออกถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบทางสังคม ดังนััน การขับถ่ายในฐานะการปฏิวัติทางภาษา ดังเช่น Laporte กล่าวถึงการที่ การขับถ่ายและการใช้คำพูดที่เกี่ยวข้องกับของเสีย กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความหมายใหม่ในภาษาและวัฒนธรรม ตัวอย่างนี้เชื่อมโยงกับแนวคิดของ Michel Foucault ที่มองว่าภาษาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมและสร้างโครงสร้างทางอำนาจ Laporte แสดงให้เห็นว่าแม้แต่การใช้คำหยาบหรือคำที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายก็เป็นการต่อสู้กับโครงสร้างทางภาษาและอำนาจ ดังตัวอย่าง การใช้คำหยาบคายที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่าย เช่น คำว่า "shit" ในภาษาอังกฤษ ถูกใช้ในบริบทของการแสดงความไม่พอใจ หรือการต่อต้านอำนาจ Laporte มองว่านี่ไม่ใช่เพียงการแสดงออกที่หยาบคาย แต่ยังเป็นการสร้างความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ท้าทายระเบียบทางภาษาและการเมือง โดย สรุปDominique Laporte ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่เรื่องทางกายภาพของการขับถ่าย แต่ยังเชื่อมโยงกับประเด็นทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม และภาษาศาสตร์ โดยนำเสนอว่าแม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็น "เรื่องสกปรก" หรือ "ไม่สำคัญ" ในสายตาของคนทั่วไป กลับมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างโครงสร้างทางสังคมและการแสดงออกทางอำนาจ ***จิตรกรรม ปฎิมากรรม และศิลปะของการขับถ่าย*** หนังสือ Pissing Figures ของ Jean-Claude Lebensztejn เป็นหนังสือที่เจาะลึกถึงประวัติศาสตร์และความหมายเชิงสัญลักษณ์ของภาพวาด รูปปั้น และการแสดงออกที่เกี่ยวข้องกับการปัสสาวะในงานศิลปะตั้งแต่ยุคกลางจนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้สำรวจว่า การปัสสาวะ (ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง) ถูกแสดงออกอย่างไรในบริบททางศิลปะและวัฒนธรรม และมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งในแต่ละยุคสมัย โดย แนวคิดสำคัญของเขาเช่น 1. การปัสสาวะเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและการต่อต้านอำนาจ Lebensztejn เสนอว่าในหลายๆ งานศิลปะ ภาพของการปัสสาวะ (โดยเฉพาะในที่สาธารณะ) ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการท้าทายต่อกฎเกณฑ์ทางสังคมและการเมือง ซึ่งการกระทำนี้มักจะมีความหมายทางการเมืองเชิงต่อต้าน 2. การปัสสาวะเป็นตัวแทนของความเป็นธรรมชาติและความเปราะบาง การปัสสาวะมักถูกนำเสนอในฐานะสัญลักษณ์ของความเป็นธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงความเปราะบางของร่างกายมนุษย์ การแสดงภาพเหล่านี้จึงมีมิติที่เชื่อมโยงกับการยอมรับสภาพธรรมชาติของมนุษย์ 3. การใช้การปัสสาวะเป็นการสื่อสารในงานศิลปะ Lebensztejn อธิบายว่าการแสดงภาพการปัสสาวะในศิลปะนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกทางกายภาพ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการวิจารณ์และส่งข้อความทางการเมือง ศาสนา หรือสังคมในแต่ละยุคสมัย ตัวอย่างสำคัญในหนังสือ เช่น Manneken Pis รูปปั้นเด็กชายที่ยืนปัสสาวะในกรุงบรัสเซลส์ รูปปั้นนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ ความขบขัน และการต่อต้านต่ออำนาจ แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็กลายเป็นภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองบรัสเซลส์ และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ประชาชนใช้เพื่อเสียดสีทางการเมืองในบางช่วงเวลา Lebensztejn วิเคราะห์ภาพการปัสสาวะในงานจิตรกรรมยุคกลาง เช่น Martyrdom of Saint Apollonia (1452–1460) ผลงานของ Jean Fouquet ในภาพนี้การปัสสาวะถูกใช้เพื่อแสดงถึงการกระทำที่ต่ำต้อยและเป็นส่วนหนึ่งของการเสียดสีสังคมศาสนาในยุคนั้น การแสดงภาพที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ของความเคร่งครัดทางศาสนากลายเป็นการแสดงออกถึงการตั้งคำถามต่ออำนาจทางศีลธรรม ผลงานของ Leonardo da Vinci (ศตวรรษที่ 16) ที่เกี่ยวกับการศึกษาทางกายวิภาค ซึ่งรวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับการปัสสาวะของมนุษย์ ในผลงานนี้ Leonardo ไม่เพียงแต่วาดภาพการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ยังพยายามเข้าใจว่ากระบวนการปัสสาวะนั้นเชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ของมนุษย์อย่างไร การศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการทำความเข้าใจร่างกายมนุษย์ในมิติทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ งานศิลปะของ Marcel Duchamp ชื่อ "Fountain" (1917) Duchamp นำโถปัสสาวะมาวางไว้ในงานศิลปะ โดยให้ชื่อว่า Fountain ผลงานนี้เป็นการท้าทายแนวคิดดั้งเดิมของศิลปะ โดยใช้วัตถุในชีวิตประจำวันเพื่อสร้างงานศิลปะ การใช้โถปัสสาวะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์อำนาจและแนวคิดเกี่ยวกับศิลปะที่ถูกควบคุมโดยสถาบันต่างๆ Lebensztejn วิเคราะห์ผลงานนี้ในฐานะสัญลักษณ์ของการขบถต่อการตีความศิลปะแบบเดิมๆ หนังสืออีกเล่ม ชื่อ Toilets: Public Restrooms and the Politics of Sharing เขียนโดย Harvey Molotch และ Laura Noren เป็นหนังสือที่สำรวจประเด็นทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองที่เกี่ยวข้องกับห้องน้ำสาธารณะ หนังสือเล่มนี้ให้มุมมองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับบทบาทของห้องน้ำในฐานะพื้นที่ที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศ เชื้อชาติ ชนชั้น และความพิการ นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ว่าสถานที่เหล่านี้เป็นตัวแทนของการควบคุม การแบ่งปัน และความเป็นส่วนตัวในบริบทสาธารณะอย่างไร แนวคิดสำคัญสำคัญที่น่าสนใจ เช่น 1. ห้องน้ำเป็นพื้นที่ของความไม่เท่าเทียม Molotch และ Noren วิเคราะห์ว่า ห้องน้ำสาธารณะ เป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมในหลายมิติ เช่น เพศ ชนชั้น และความสามารถทางกาย การออกแบบและการเข้าถึงห้องน้ำไม่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นคนพิการหรือผู้หญิง ซึ่งมักจะพบปัญหาความไม่สะดวกสบายในการใช้พื้นที่นี้ 2. ห้องน้ำกับบทบาทของเพศสภาพ ห้องน้ำสาธารณะถูกแยกตามเพศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการจัดห้องน้ำในลักษณะนี้สร้างการแบ่งแยกทางเพศ การออกแบบห้องน้ำ ยังมักไม่ได้คำนึงถึงกลุ่มคนที่ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานของเพศ เช่น คนข้ามเพศ (transgender) หรือคนที่ไม่ระบุเพศ (non-binary) หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามต่อวิธีการออกแบบและการแบ่งแยกห้องน้ำตามเพศว่ามีผลต่อความเท่าเทียมและการยอมรับของสังคมอย่างไร 3. ห้องน้ำเป็นพื้นที่ที่แสดงถึงการเมืองของการแบ่งปัน (Politics of Sharing) ห้องน้ำสาธารณะถือเป็นพื้นที่ที่ผู้คนต้อง แบ่งปันทรัพยากร ทั้งในแง่ของพื้นที่ ความสะอาด และความเป็นส่วนตัว ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการจัดการ และความรับผิดชอบร่วมกัน หนังสือเล่มนี้สำรวจว่าใครควรรับผิดชอบในเรื่องความสะอาด การบำรุงรักษา และการเข้าถึงห้องน้ำสาธารณะ 4. ความสัมพันธ์ระหว่างห้องน้ำกับอำนาจ หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าการจัดการห้องน้ำสาธารณะนั้นเกี่ยวข้องกับการควบคุมทางสังคมห้องน้ำกลายเป็นเครื่องมือในการบังคับใช้กฎระเบียบ เช่น กฎเรื่องการแยกเพศ การจำกัดการเข้าถึงของกลุ่มคนไร้บ้าน หรือการกำหนดมาตรฐานความสะอาด ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงอำนาจที่รัฐและสถาบันต่างๆ ใช้ในการควบคุมประชาชน 5. ประเด็นความยั่งยืนและการออกแบบห้องน้ำ Molotch และ Noren ยังพิจารณาถึงบทบาทของห้องน้ำในบริบทของความยั่งยืน โดยเฉพาะเรื่องการใช้น้ำ และการจัดการของเสีย พวกเขาวิเคราะห์ว่าโครงสร้างพื้นฐานและการออกแบบห้องน้ำสามารถเป็นตัวแทนของความพยายามในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ตัวอย่างสำคัญในหนังสือ มีหลายตัวอย่างเช่น 1.ห้องน้ำสาธารณะในนิวยอร์กซิตี Molotch และ Noren ได้พูดถึงตัวอย่างของห้องน้ำสาธารณะในนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางเพศและเชื้อชาติสูง Molotch และ Noren สำรวจว่าเมืองใหญ่ๆ เช่น นิวยอร์ก จัดการกับความหลากหลายเหล่านี้อย่างไร โดยเฉพาะการออกแบบห้องน้ำให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลาย เช่น การสร้างห้องน้ำแบบ unisex หรือห้องน้ำที่ออกแบบมาเพื่อให้เข้าถึงได้โดยทุกคน 2.การจัดการห้องน้ำในงานเทศกาลขนาดใหญ่ โดยผู้เขียนนำเสนอกรณีศึกษาของการจัดการห้องน้ำใน ฃงานเทศกาลขนาดใหญ่ เช่น งานคอนเสิร์ตหรืองานสาธารณะที่มีคนจำนวนมากเข้าร่วม ซึ่งการจัดการห้องน้ำในสถานการณ์เช่นนี้สะท้อนถึงการแบ่งปันทรัพยากรในพื้นที่จำกัด การรักษาความสะอาด และการควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้ 3. ความท้าทายของห้องน้ำสำหรับคนพิการ Molotch และ Noren พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนพิการ ซึ่งมักจะพบปัญหาในการใช้ห้องน้ำสาธารณะที่ไม่ได้ออกแบบมาให้เข้าถึงง่าย คนพิการต้องเผชิญกับการถูกกีดกันและข้อจำกัดในการใช้พื้นที่นี้ การออกแบบที่ไม่รองรับคนพิการส่งผลให้พวกเขาต้องพึ่งพาผู้อื่นหรือไม่สามารถใช้ห้องน้ำสาธารณะได้สะดวก 4. ห้องน้ำและคนไร้บ้าน ห้องน้ำสาธารณะยังเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับ คนไร้บ้าน ซึ่งมักจะถูกมองข้ามในการออกแบบและการจัดการห้องน้ำ คนไร้บ้านมักถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งส่งผลต่อสุขอนามัยและการใช้ชีวิตประจำวัน หนังสือชี้ให้เห็นถึงการจัดการห้องน้ำในลักษณะที่ปิดกั้นคนไร้บ้านและการใช้ห้องน้ำเป็นเครื่องมือในการควบคุมกลุ่มคนเหล่านี้ โดย สรุป Molotch และ Noren ชี้ให้เห็นว่าห้องน้ำสาธารณะไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทางกายภาพ แต่ยังสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม การควบคุมทางสังคม และการแบ่งปันทรัพยากรในที่สาธารณะ **ว่าด้วยผู้หญิงยืนฉี่ สำรวจวัฒนธรรมต่างๆ*** การที่ผู้หญิงยืนฉี่ในวัฒนธรรมสมัยก่อนเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม และการปฏิบัติทางสุขอนามัย 1.การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ในหลายชุมชนโบราณ การเข้าห้องน้ำแบบที่นั่งอาจไม่ใช่สิ่งที่พบได้ทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นธรรมชาติหรือเขตที่ไม่ได้มีการสร้างสุขาสาธารณะ การยืนฉี่จึงเป็นวิธีที่ผู้หญิงสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและสะดวกเมื่อจำเป็น 2. วัฒนธรรมและประเพณี ในบางวัฒนธรรม การยืนฉี่อาจไม่ถูกจำกัดเฉพาะผู้ชายเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงก็สามารถทำได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับประเพณีและการฝึกฝนของสังคมนั้นๆ 3. สุขอนามัยและการป้องกัน ในยุคก่อน สุขอนามัยในหลายพื้นที่อาจไม่สะดวกพอ เช่น การนั่งยองบนพื้นสกปรกหรือไม่สะอาด ผู้หญิงบางกลุ่มอาจเลือกยืนฉี่เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งสกปรก 4. การเคลื่อนไหวและกิจกรรม ในบางวัฒนธรรม ผู้หญิงอาจต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในการทำกิจกรรมทางกาย เช่น การเดินทาง การเก็บของ หรือการล่าสัตว์ การยืนฉี่จึงเป็นวิธีที่ทำให้พวกเธอไม่ต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ การที่ผู้หญิงยืนฉี่ในสังคมอื่นๆ ก็มีตัวอย่างที่น่าสนใจ ซึ่งแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมและบริบทสังคม เช่น ชาวมองโกล ในช่วงยุคกลาง ชาวมองโกลเป็นนักรบและนักเดินทางที่มีวิถีชีวิตเร่ร่อน เนื่องจากพวกเขาต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา การที่ผู้หญิงยืนฉี่จึงสะดวกและรวดเร็วในการเคลื่อนที่และหลีกเลี่ยงการหยุดเดินทาง ชนเผ่าซาน (San) ในแอฟริกาใต้ ชนเผ่าเร่ร่อนอย่างชนเผ่าซาน ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลทรายคาลาฮารี ผู้หญิงในชนเผ่านี้เคยใช้วิธีการยืนหรือกึ่งยืนฉี่ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับทรายร้อนหรือพื้นที่อันไม่สะอาด นี่เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่แห้งแล้งและมีทรัพยากรน้ำน้อย บางส่วนของชาวเบดูอิน (Bedouin) ในวัฒนธรรมเบดูอินในตะวันออกกลางที่ใช้ชีวิตในทะเลทราย ผู้หญิงบางคนเคยใช้วิธีการฉี่ที่ไม่ต้องนั่งยอง เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับทรายหรือแมลงที่อยู่ในพื้นที่ 4. สังคมญี่ปุ่นโบราณ มีหลักฐานบางอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าในบางยุคสมัย ผู้หญิงญี่ปุ่นอาจยืนหรือกึ่งนั่งในการฉี่ เนื่องจากสุขอนามัยและการแต่งกายด้วยกิโมโนทำให้การนั่งเต็มที่อาจเป็นเรื่องลำบาก 5. ชนเผ่าแอมะซอน ในบางกลุ่มชนเผ่าในป่าแอมะซอน ผู้หญิงอาจใช้วิธีการยืนฉี่หรือกึ่งยืน เพื่อป้องกันจากแมลงหรือสัตว์ที่อาจจะอยู่ในพื้นที่ชื้นแฉะ ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่ 7.ในสังคมไทย ในอดีต ผู้หญิงในบางวัฒนธรรมที่นุ่งผ้าซิ่นจะยืนฉี่ เพราะยังไม่มีห้องน้ำการฉี่โดยการนั่ง ทำให้สัมผัสกับดิน สิ่งสกปรกและอาจมีสัตว์ร้าย ในวรรณกรรมของคำพูนบุญทวี เรื่องลูกอีสาน มีการกล่าวถึงคำพูดของพระในชุมชนที่บอกว่าที่หมู่บ้านแห้งแล้ง เพราะผู้หญิงในหมู่บ้านยืนเยี่ยว ที่ แสดงให้เห็นอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ และพุทธศาสนา ที่เข้ามาควบคุมพฤติกรรมของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะผู้หญิง มีมุมมองที่น่าสนใจ อีกมาก อย่าคิดว่า ไม่มีอำนาจเข้ามาควบคุมเราแม้แต่ชีวิตประจำวัน และการขับถ่าย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...