ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Art Necrophilia :ศิลปะกับความตาย โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Art Necrophilia เป็นแนวคิดที่อาจถูกนำมาใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับความหลงใหลหรือการหมกมุ่นในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความตายและการทำงานศิลปะที่มุ่งเน้นไปยังสิ่งที่ตายหรือสูญหายไป ซึ่งอาจมีความหมายได้หลายแง่มุม ทั้งในเชิงจิตวิทยา วัฒนธรรม และสุนทรียศาสตร์ (aesthetics) การศึกษาแนวคิดนี้อาจนำไปสู่การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับความตาย ผ่านงานศิลปะและการสร้างสรรค์ในสังคมปัจจุบันและอดีต แนวคิดที่น่าสนใจในการศึกษา Art Necrophilia ได้แก่ 1. ความงามของความตาย (Aesthetics of Death) การศึกษาความงามที่เกี่ยวข้องกับความตาย หรือการสร้างสรรค์งานศิลปะที่นำเสนอความตายอย่างสุนทรีย์ เช่น งานศิลปะประเภทมรณกรรม (memento mori) ภาพเขียนโครงกระดูก รูปปั้นศพ หรือผลงานศิลปะที่เน้นความรู้สึกถึงความสูญเสียและการหมดอายุของชีวิต เป็นการทำให้เห็นว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไป แต่อาจถูกนำเสนอในแง่มุมที่งดงามและลึกซึ้ง 2. ศิลปะและการระลึกถึงความตาย (Art and Memorialization) การสร้างผลงานศิลปะเพื่อระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิต หรือการบันทึกประวัติศาสตร์และความทรงจำผ่านงานศิลปะที่เกี่ยวกับความตาย เช่น การทำรูปปั้นอนุสาวรีย์ หลุมศพที่ออกแบบอย่างสร้างสรรค์ หรือพิธีกรรมทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับความตาย การศึกษานี้จะช่วยทำความเข้าใจบทบาทของศิลปะในการสร้างความทรงจำและการจัดการความสูญเสียในสังคม 3. สัญลักษณ์และความหมายทางจิตวิทยา (Symbolism and Psychological Meaning) ในเชิงจิตวิทยา การสร้างสรรค์งานศิลปะที่หมกมุ่นกับความตายอาจสะท้อนถึงจิตสำนึกหรือความกลัวในจิตใจของผู้สร้างและผู้เสพงานศิลปะ การศึกษา Art Necrophilia อาจช่วยให้เข้าใจสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความตายในงานศิลปะ และทำให้เห็นว่าความตายส่งผลต่อการแสดงออกทางศิลปะและการตีความของผู้ชมอย่างไร 4. ศิลปะในพิธีกรรมและความเชื่อทางศาสนา (Art in Rituals and Religious Beliefs) หลายวัฒนธรรมมีการใช้ศิลปะเพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์กับความตาย เช่น ภาพวาดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย หรือการสร้างศิลปะเพื่อใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายและการปล่อยวิญญาณ การศึกษาประเด็นนี้อาจช่วยให้เข้าใจถึงบทบาทของศิลปะในการจัดการกับความตายและการทำความเข้าใจชีวิตหลังความตายในมุมมองของวัฒนธรรมต่าง ๆ 5. ศิลปะและร่างกายที่ถูกทิ้ง (Art and Abandoned Bodies) มีการทำงานศิลปะบางรูปแบบที่ใช้ร่างกายมนุษย์ที่ไร้ชีวิตหรือสื่อถึงการทิ้งร้างของร่างกายในทางศิลปะ ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น การใช้ร่างกายจริงในการทำงานศิลปะหรือสื่อเชิงศิลปะที่สะท้อนความตายในเชิงกายภาพ การศึกษานี้ช่วยวิเคราะห์ถึงความหมกมุ่นในร่างกายที่ไร้ชีวิตในศิลปะและผลกระทบทางสังคมและจริยธรรมที่ตามมา โดยรวมแล้ว การศึกษา Art Necrophilia สามารถเปิดเผยถึงความหมายลึกซึ้งของความตาย ความกลัว ความทรงจำ และความงามในชีวิตมนุษย์ ขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางในการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและการแสดงออกถึงสิ่งที่ลึกลับและยากที่จะอธิบาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...