วันนี้ตื่นตีสี่ ไม่หลับต่อ เลยมาคณะแต่เช้าตรู่เลย ตามสไตล์คือต้องเขียน…ดีกว่านั่งอยู่บนรถเฉยๆ จะได้ลืมเรื่องระยะทาง ไกลจากบ้านถึงมหาวิทยาลัย อาจจะเพราะข่าวเรื่องอุทกภัย เลยนึงกถึงเรื่องนี้ ระหว่างนั่งดูข่าวน้ำหลาก สื่อสารมวลชนนักข่าว เจ้าหน้าที่มูลนิธิ กู้ภัย อาสาบรรเทาสาธารณภัย ผู้ประสบภัย พร้อมสลับกับการแถลงนโยบายของรัฐบาล
หนังสือ The Anthropology of Disasters มี Gregory Button and Mark Schulle เป็นบรรณาธิการ งานชิ้นนี้ถือเป็นหนังสือที่รวบรวมบทความเกี่ยวกับการศึกษาภัยพิบัติ (disasters) จากมุมมองทางมานุษยวิทยา โดยมีการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบริบททางสังคม วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ โดยนำเสนอกรอบแนวคิดที่ครอบคลุมในการเข้าใจว่าภัยพิบัติไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ที่สัมพันธ์กับโครงสร้างทางสังคม
โดยใช้มุมมองแบบมานุษยวิทยาในการมองบริบททางสังคมวัมนธรรมต่อประเด็นเรื่องภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ ที่เรียกว่า Contextualizing Disaster โดยนำเสนอการวิเคราะห์เปรียบเทียบของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นชัดเจนบนโลก และวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เช่น พายุไต้ฝุ่น สึนามิ แผ่นดินไหว การรั่วไหลของสารเคมี ไฟป่า รวมถึงผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หนังสือชี้ให้เห็นว่าสื่อสารมวลชนมักนำเสนอภัยพิบัติเป็นเหตุการณ์ที่โดดเดี่ยวแยกออกจากบริบทอื่นๆ และเสนอความน่าตื่นเต้นเร้าใจไม่เหมือนใคร แต่ในความเป็นจริง ภัยพิบัติควรเข้าใจว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงกันในระดับโลก ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแยกจากกันแต่อย่างใด
การวิเคราะห์และตีความภัยพิบัติในบริบททางสังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม โดยเน้นว่าภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น พายุไต้ฝุ่น สึนามิ แผ่นดินไหว ไฟป่าและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ควรมองว่าเป็นเหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่ควรเข้าใจว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงกันในระดับโลก โดยใช้มุมมองเชิงนิเวศวิทยาการเมือง (political ecology) เพื่อแสดงให้เห็นว่าภัยพิบัติมีผลกระทบที่ครอบคลุมมากกว่าแค่ด้านธรรมชาติ โดยมีปัจจัยทางสังคมและการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังสือเล่มนี้มีสาระสำคัญและแนวคิดหลัก
1. ภัยพิบัติเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม
แนวคิดสำคัญคือการที่มานุษยวิทยามองภัยพิบัติว่าไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติโดยลำพัง แต่เกิดจากปัจจัยทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงขึ้น เช่น ความยากจน การกีดกันทางสังคม และการไม่มีความเสมอภาคในการเข้าถึงทรัพยากรและการช่วยเหลือจากรัฐ
2. ภัยพิบัติและการเมืองของการแทรกแซง
หนังสือเน้นถึงบทบาทของรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมในการตอบสนองและจัดการภัยพิบัติ ซึ่งหลายครั้งการแทรกแซงช่วยเหลือเหล่านี้กลับทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น หรือสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้นในสังคม ตัวอย่างเช่น การให้ความช่วยเหลือที่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่ตรงกับความต้องการของชุมชนท้องถิ่น
3. ความเปราะบางของชุมชนท้องถิ่น
แนวคิดนี้กล่าวถึงความเปราะบาง (vulnerability) ของกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติ เช่น ชนกลุ่มน้อย หรือคนจนที่มักจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะขาดการเข้าถึงทรัพยากรและการช่วยเหลือที่เพียงพอ
4. ความยืดหยุ่นและการฟื้นตัวของชุมชน (Resilience)
แม้ว่าภัยพิบัติจะสร้างผลกระทบรุนแรง แต่หนังสือยังพูดถึงแนวคิดเรื่องความยืดหยุ่นของชุมชนที่สามารถฟื้นตัวจากภัยพิบัติได้ โดยพิจารณาปัจจัยทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และกลยุทธ์ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ชุมชนใช้ในการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ปรากฏในบทความต่างๆเกี่ยวกับภัยพิบัติที่แสดงถึงแนวคิดและการวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคมวัฒนธรรม โดยบางกรณีจะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางธรรมชาติและสังคมที่ทำให้ผลกระทบรุนแรงขึ้น ที่น่าสนใจเช่น
1. กรณีศึกษาจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา (Hurricane Katrina)ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งในบทความที่กล่าวถึงการตอบสนองของรัฐบาลต่อพายุเฮอริเคนแคทรีนาในปี 2005 ที่ทำลายเมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา ผู้เขียนชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของการจัดการภัยพิบัติจากภาครัฐที่ไม่เพียงพอ และความเหลื่อมล้ำในการช่วยเหลือ โดยเฉพาะชุมชนชาวแอฟริกันอเมริกันที่ยากจนซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น การจัดการภัยพิบัติครั้งนี้ยังถูกวิจารณ์ว่าเป็นการแทรกแซงที่ไม่เป็นธรรม และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ไม่พึงประสงค์
2. กรณีแผ่นดินไหวในเฮติ (Haiti Earthquake) บทควาสนี้ผู้เขียนได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในเฮติปี 2010 ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความไม่เพียงพอของการตอบสนองจากภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ การช่วยเหลือในบางครั้งกลับทำให้ชุมชนต้องพึ่งพิงทรัพยากรภายนอกแทนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าแม้จะมีความช่วยเหลือเข้ามา แต่ถ้าไม่มีการคำนึงถึงปัจจัยท้องถิ่นและโครงสร้างทางสังคม การฟื้นตัวก็อาจไม่ยั่งยืน
3. กรณีสึนามิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (2004 Indian Ocean Tsunami) ซึ่งเป็นกรณีศึกษา:** สึนามิครั้งใหญ่ในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปี 2004 ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย อินโดนีเซีย และศรีลังกา โดยแนวคิดหลักที่หนังสือพูดถึงการฟื้นตัวของชุมชนท้องถิ่นหลังเหตุการณ์ และการเข้าแทรกแซงขององค์กรช่วยเหลือจากต่างประเทศที่บางครั้งอาจทำให้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น การสร้างบ้านใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือวิถีชีวิตแบบชุมชนประมง ทำให้ผู้คนในชุมชนต้องปรับตัวอย่างยากลำบาก ดังนั้นบทเรียนการช่วยเหลือจากภายนอกจำเป็นต้องเข้าใจวัฒนธรรมและโครงสร้างทางสังคมของผู้ประสบภัย ไม่เช่นนั้นอาจเป็นการทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมที่มีความยืดหยุ่นและการฟื้นตัวที่ดีอยู่แล้ว
4. กรณีน้ำท่วมในบังคลาเทศ โดยกรณีศึกษาบังคลาเทศเป็นซึ่งเป็นประเทศที่ประสบภัยน้ำท่วมบ่อยครั้ง และภัยน้ำท่วมเป็นปรากฏการณ์ที่มีความเกี่ยวข้องทั้งกับสภาพภูมิอากาศและปัจจัยทางสังคม ปรากฏการณ์น้ำท่วมบังคลาเทศมักจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนยากจนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ผู้เขียนวิเคราะห์ว่าความเปราะบางของกลุ่มคนเหล่านี้เกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการจัดสรรที่ดินที่ไม่เป็นธรรม ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อไป
ดังนั้นภัยพิบัติน้ำท่วมในบังคลาเทศแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาทางสิ่งแวดล้อมกับการจัดสรรทรัพยากรและความยากจน การแก้ปัญหาภัยพิบัติไม่ใช่แค่การสร้างระบบระบายน้ำหรือการพยากรณ์อากาศ แต่ต้องแก้ไขปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจควบคู่กันไปด้วย
5. กรณีแผ่นดินไหวที่เนปาล (2015 Nepal Earthquake) โดยกรณีศึกษาแผ่นดินไหวที่เนปาลในปี 2015 ทำลายบ้านเรือนหลายหมื่นหลังและทำให้ผู้คนจำนวนมากไร้ที่อยู่อาศัย บทความชิ้นนี้ได้กล่าวถึงปัจจัยทางการเมืองที่มีผลต่อการฟื้นตัวหลังแผ่นดินไหวในเนปาล การช่วยเหลือจากรัฐบาลท้องถิ่นและองค์กรระหว่างประเทศมักมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนในเมืองมากกว่าชุมชนชนบท ซึ่งทำให้กลุ่มที่เปราะบางในชนบทได้รับการฟื้นฟูที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติต้องคำนึงถึงการเข้าถึงทรัพยากรและการจัดการอย่างเท่าเทียมในกลุ่มประชากรต่าง ๆ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมรุนแรงยิ่งขึ้น
6. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและชุมชนพื้นเมืองในอาร์กติก (Climate Change and Indigenous Arctic Communities) ผู้เขียนบทความใช้กรณีศึกษาชุมชนพื้นเมืองในเขตอาร์กติกได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะจากการละลายของน้ำแข็งและการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ
บทความชิ้นนี้เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของชุมชนพื้นเมืองที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติแบบดั้งเดิม เช่น การล่าสัตว์และการประมง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศเป็นภัยพิบัติที่มีความซับซ้อน ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิจัยและการช่วยเหลือที่ครอบคลุมทั้งทางด้านวัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยให้ชุมชนพื้นเมืองสามารถปรับตัวได้อย่างยั่งยืน
7.กรณีไฟป่าในออสเตรเลีย (Australian Bushfires)
ผู้เขียนบทความใช้กรณีศึกษาไฟป่าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในออสเตรเลียไม่เพียงแค่เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติ แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับการจัดการที่ดินและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวคิดหลักคือผู้เขียนวิเคราะห์ถึงความขัดแย้งระหว่างการจัดการไฟป่าแบบดั้งเดิมของชุมชนพื้นเมืองขอฃออสเตรเลียกับการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติแบบสมัยใหม่ของรัฐบาล การจัดการไฟป่าแบบดั้งเดิมซึ่งใช้การเผาเพื่อควบคุมไฟได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีการที่ยั่งยืนกว่าการใช้มาตรการแบบสมัยใหม่ แต่ถูกลดทอนความสำคัญไปเมื่อมีการเข้ามาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ดังนั้นความรู้ท้องถิ่นและภูมิปัญญาพื้นบ้านมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและภัยพิบัติ การจัดการที่ดินในออสเตรเลียแสดงให้เห็นว่าการละเลยความรู้ดั้งเดิมอาจทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ดังนั้นภัยพิบัติไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลมาจากโครงสร้างทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมที่ซับซ้อน ผู้คนที่มีความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียม ที่ทำให้ภัยพิบัติรุนแรงมากขึ้น การศึกษาภัยพิบัติจากมุมมองมานุษยวิทยาจึงเป็นการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายด้าน
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น