ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Anthropology and Activism : นักมานุษยวิทยา กับนักกิจกรรม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือเรื่อง Anthropology and Activism ที่เขียนโดย Anna J. Willow และ Kelly A. Yotebieng เป็นงานที่สำรวจการเชื่อมโยงระหว่างมานุษยวิทยาและการเคลื่อนไหวทางสังคม โดยมุ่งเน้นถึงวิธีที่นักมานุษยวิทยาสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ผ่านการทำงานร่วมกับชุมชนและการมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางสังคม แนวคิดสำคัญในหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1. การผสมผสานระหว่างมานุษยวิทยาและการเคลื่อนไหวทางสังคม Anna J. Willow& Kelly A. Yotebieng กล่าวถึงความสำคัญของการนำเครื่องมือและวิธีการทางมานุษยวิทยาไปใช้ในงานเคลื่อนไหวทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ปัญหาหรือการทำงานภาคสนาม เพื่อเข้าใจปัญหาทางสังคมอย่างลึกซึ้ง และใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพในการแก้ไขปัญหา 2. บทบาทของนักมานุษยวิทยาในการเคลื่อนไหวทางสังคม Anna J. Willow& Kelly A. Yotebieng เน้นว่าบทบาทของนักมานุษยวิทยาไม่ควรจำกัดอยู่แค่การสังเกตหรือบันทึกข้อมูลเท่านั้น แต่ควรมีส่วนร่วมในกระบวนการเคลื่อนไหวและสนับสนุนการพัฒนาสังคมผ่านความเข้าใจทางวัฒนธรรมและความรู้เชิงวิชาการ 3. กรณีศึกษาจากทั่วโลก ในหนังสือประกอบด้วยกรณีศึกษาจากหลายประเทศและหลายวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นว่านักมานุษยวิทยาได้มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชนอย่างไร โดยตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่มานุษยวิทยาเชื่อมโยงกับการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในรูปแบบต่างๆ 4. Ethics of Engagement Anna J. Willow& Kelly A. Yotebieng ได้พูดถึงประเด็นทางจริยธรรมในการทำงานของนักมานุษยวิทยาที่เข้าร่วมกับขบวนการเคลื่อนไหว รวมถึงการทำงานอย่างเคารพต่อความต้องการและความเป็นอยู่ของชุมชนที่ตนเองศึกษาหรือมีส่วนร่วม หากโดยรวมพิจารณาโดยรวมแล้ว Anthropology and Activism เป็นหนังสือที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของมานุษยวิทยาในการมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวทางสังคม และเน้นถึงความเป็นไปได้ในการใช้ความรู้เชิงวิชาการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคม Anna J. Willow& Kelly A. Yotebieng ใช้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจเกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างมานุษยวิทยาและการเคลื่อนไหวทางสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทของนักมานุษยวิทยาในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่: 1. การต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินของชนพื้นเมืองในบราซิล นักมานุษยวิทยาทำงานร่วมกับกลุ่มชนพื้นเมืองในบราซิลเพื่อปกป้องสิทธิในที่ดินของพวกเขา โดยใช้ความรู้ทางวัฒนธรรมและข้อมูลทางมานุษยวิทยาในการสนับสนุนการฟ้องร้องทางกฎหมาย และสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของที่ดินต่อวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชนพื้นเมือง กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการวิจัยเชิงลึกสามารถนำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิและทรัพยากรของกลุ่มคนชายขอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. การฟื้นฟูป่าฝนในแอฟริกาตะวันตก ในแอฟริกาตะวันตก นักมานุษยวิทยาทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นและองค์กรพัฒนาเอกชนในการฟื้นฟูป่าฝนที่ถูกทำลาย เพื่อช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยการนำความรู้ทางวัฒนธรรมและระบบความเชื่อของชุมชนท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาโครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนและภาควิชาการ 3. การเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ นักมานุษยวิทยามีบทบาทสำคัญในขบวนการเรียกร้องความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกา โดยทำงานร่วมกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษและการพัฒนาทางอุตสาหกรรมที่ไม่ยั่งยืน กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ข้อมูลเชิงมานุษยวิทยาเพื่อสร้างความเข้าใจในผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรมของการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเรียกร้องสิทธิของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ 4. การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในยุโรป นักมานุษยวิทยาที่ทำงานในค่ายผู้ลี้ภัยในยุโรปได้ใช้ทักษะการสังเกตและการสัมภาษณ์เพื่อเข้าใจความต้องการและความท้าทายของผู้ลี้ภัย จากนั้นได้ใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อช่วยออกแบบโครงการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น การจัดหาบริการทางการแพทย์และการศึกษา รวมถึงการสนับสนุนสิทธิขั้นพื้นฐานในระดับนานาชาติ ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่านักมานุษยวิทยาสามารถมีบทบาทสำคัญในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม โดยใช้ความรู้ที่ลึกซึ้งในวัฒนธรรมและสังคมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่เป็นธรรมและยั่งยืน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...