ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดของ Anthony Giddens ในการศึกษาสังคม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Anthony Giddens เป็นนักสังคมวิทยาชาวอังกฤษที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีทางสังคมสมัยใหม่ แนวคิดหลักของเขาคือทฤษฎีโครงสร้างการกระทำ (Structuration Theory) ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างทางสังคมและการกระทำของบุคคล เขายังมีผลงานที่สำรวจประเด็นต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ ความทันสมัย และผลกระทบของการเมืองสมัยใหม่ ต่อไปนี้คือตัวอย่างหนังสือสำคัญของ Giddens รวมทั้งสาระสำคัญและตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ อาทิเช่น 1. หนังสือ The Constitution of Society (1984) ในหนังสือ The Constitution of Society นั้น Giddens ได้พัฒนาทฤษฎีโครงสร้างการกระทำ (Structuration Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีสำคัญที่อธิบายว่า โครงสร้างทางสังคม และ การกระทำของบุคคล มีความสัมพันธ์แบบปฏิสัมพันธ์กัน เขาเสนอว่าโครงสร้างทางสังคมไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือบุคคลและกำหนดการกระทำทั้งหมด แต่บุคคลเองก็มีส่วนร่วมในการสร้างและปรับเปลี่ยนโครงสร้างนี้ผ่านการกระทำในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่กิดเด้นใช้ เช่น ในการทำงานหรือชีวิตประจำวัน บุคคลไม่ได้แค่ปฏิบัติตามกฎที่โครงสร้างทางสังคมกำหนดไว้ แต่พวกเขายังปรับเปลี่ยนกฎเหล่านั้นด้วย ตัวอย่างเช่น ในองค์กรหนึ่งที่มีกฎการทำงาน แต่พนักงานแต่ละคนสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานตามสไตล์ของตัวเองได้ การกระทำเหล่านี้สะท้อนว่าบุคคลมีอำนาจในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมที่พวกเขาอยู่ภายใต้
2. หนังสือ Modernity and Self-Identity (1991) สาระสำคัญในหนังสือเล่มนี้ Giddens อธิบายถึงการสร้างอัตลักษณ์ในยุคสมัยใหม่ โดยเขาเสนอว่าในสังคมสมัยใหม่ที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น บุคคลต้องสร้างและปรับอัตลักษณ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง อัตลักษณ์จึงไม่ใช่สิ่งที่คงที่ แต่ถูกปรับเปลี่ยนตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัตน์ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม กิดเด้นใช้ตัวอย่างในยุคโลกาภิวัตน์ ผู้คนได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมที่หลากหลายผ่านสื่อและเทคโนโลยี เช่น โซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้พวกเขาต้องสร้างและปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตนเองอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น คนรุ่นใหม่อาจเปลี่ยนรูปแบบการแสดงออกทางวัฒนธรรม เช่น การแต่งตัวและการพูดตามสไตล์ที่เห็นจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งส่งผลให้อัตลักษณ์ของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปตามความเป็นสมัยใหม่และโลกาภิวัตน์
3. หนังสือ The Third Way: The Renewal of Social Democracy" (1998) สาระสำคัญในThe Third Way ของ Giddens เขา เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเมืองสมัยใหม่และการพัฒนานโยบายของรัฐบาล เขาเสนอให้ปรับปรุงนโยบายสังคมประชาธิปไตยแบบเดิม โดยเสนอทางเลือกที่สามที่อยู่ระหว่างทุนนิยมเสรี กับสังคมนิยม ซึ่งเน้นการพัฒนาความเท่าเทียมทางสังคมแต่ไม่ทิ้งความเป็นเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ เขายังชี้ให้เห็นความสำคัญของการมีรัฐสวัสดิการที่ทันสมัย แต่เน้นการพัฒนาประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในประเทศต่าง ๆ ที่กิดเด้นใช้ ในหนังสือ Third Way เช่น นโยบายของนายกรัฐมนตรี Tony Blair ของสหราชอาณาจักรในยุค 1990s ที่พยายามผสมผสานการส่งเสริมเศรษฐกิจเสรีเข้ากับการรักษาสวัสดิการสังคม ผ่านการปฏิรูประบบสาธารณสุขและการศึกษา แม้รัฐบาลจะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านนโยบายเสรีนิยม แต่ยังคงให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้และความเท่าเทียม
4. Runaway World: How Globalisation is Reshaping Our Lives (1999) ในหนังสือ Runaway World นั้น Giddens ได้วิเคราะห์ผลกระทบของโลกาภิวัตนต่อสังคมและชีวิตของมนุษย์ เขาเสนอว่าโลกาภิวัตน์มีทั้งผลดีและผลเสียต่อสังคม โดยทำให้เกิดการเชื่อมต่อกันของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ก็ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่มากขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก หรือปัญหาภาวะโลกร้อน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่กิดเด้นใข้ นำเสนอผลกระทบของโลกาภิวัตน์ในชีวิตประจำวันเห็นได้จากการทำงานทางไกล (remote working) ที่ได้รับการกระตุ้นจากเทคโนโลยีและการเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ผู้คนสามารถทำงานจากประเทศหนึ่งและทำงานให้กับบริษัทที่ตั้งอยู่ในอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงของตลาดแรงงานทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกัน โลกาภิวัตน์ก็ทำให้เกิด ความไม่แน่นอน เช่น การสูญเสียงานในบางประเทศเนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า
5. The Transformation of Intimacy" (1992) ในหนังสือของกิดเก้นเรื่อง The Transformation of Intimacy นั้น Giddens ได้สำรวจการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในยุคสมัยใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องความรักและความใกล้ชิด เขาเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ“pure relationship” หรือความสัมพันธ์ที่เกิดจากความเสมอภาคและการเลือกโดยเสรี ไม่ได้ถูกบังคับโดยโครงสร้างทางสังคมหรือครอบครัวแบบดั้งเดิม ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในยุคปัจจุบัน ความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกและการแต่งงานไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ทางสังคมหรือเศรษฐกิจ เช่น ในอดีตที่ผู้คนแต่งงานเพราะเหตุผลทางการเมืองหรือการรวมทรัพย์สิน แต่ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์มักจะเกิดขึ้นจากความรักและความเสมอภาค เช่น คู่รักที่ตัดสินใจอยู่ด้วยกันเพราะความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นจากความใกล้ชิดทางอารมณ์และการเลือกอย่างอิสระ
แนวคิดจากงานของ Anthony Giddens ที่วิเคราะห์จากงานของเขาคือ 1. การทบทวนย้อนคิด (Reflexivity) แนวคิดหลักนี้ Giddens อธิบายว่ามนุษย์ในสังคมสมัยใหม่มีความสามารถในการคิดทบทวนตัวเองและปรับเปลี่ยนการกระทำของตนตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เขาเรียกสิ่งนี้ว่า **reflexivity** ซึ่งเป็นการที่บุคคลตระหนักถึงสิ่งที่ทำและสามารถปรับตัวตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ การสะท้อนตนเองนี้สำคัญต่อการปรับตัวต่อความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่มากขึ้นในสังคมยุคใหม่ ตัวอย่างรูปธรรม ในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมาย ผู้คนสามารถศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การศึกษาข้อมูลด้านสุขภาพและโภชนาการผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ และนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง หรือการที่คนปรับตัวตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เช่น การเปลี่ยนเส้นทางอาชีพตามการพัฒนาทางเทคโนโลยี 2. การเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์เชิงใกล้ชิด (Transformation of Intimacy) แนวคิดหลักของกิดเก้นคือ ในสังคมยุคใหม่ Giddens ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์เชิงใกล้ชิด โดยเฉพาะในเรื่องความรักและการแต่งงานความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันมักตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ความเสมอภาคและความสมัครใจ ต่างจากสังคมดั้งเดิมที่ความสัมพันธ์มักถูกกำหนดด้วยบทบาททางสังคมหรือเศรษฐกิจ ตัวอย่างรูปธรรม เช่น คู่รักในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะอยู่ร่วมกันก่อนแต่งงานและเลือกที่จะไม่แต่งงานหากความสัมพันธ์นั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง หรือคู่รักสามารถตัดสินใจหย่าร้างได้ง่ายขึ้นหากพบว่าความสัมพันธ์นั้นไม่มีความเสมอภาคหรือความพึงพอใจ นอกจากนี้ คู่รัก LGBTQ+ ยังมีอิสระมากขึ้นในการสร้างความสัมพันธ์เชิงรักใคร่ที่พวกเขาเลือกเอง 3. การเมืองเชิงปฏิรูป (The Third Way) แนวคิดหลัก ของเขาคือ การเมืองสายที่สาม (Third Way) เป็นแนวคิดที่ Giddens นำเสนอในการพัฒนาระบบการเมืองสมัยใหม่ โดยเสนอทางเลือกที่ไม่ได้เป็นทุนนิยมเสรีแบบสุดขั้วหรือสังคมนิยมที่เข้มงวด แต่เป็นการผสมผสานระหว่างนโยบายการตลาดเสรีและการกระจายสวัสดิการสังคม เขามองว่ารัฐควรมีบทบาทในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม และในขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาสวัสดิการสังคมที่ยั่งยืน ตัวอย่างรูปธรรมเช่น การเมืองสายที่สามถูกนำไปใช้ในหลายประเทศ เช่น นโยบายของ Tony Blair ในอังกฤษที่เน้นการส่งเสริมเศรษฐกิจตลาดเสรี ควบคู่กับการพัฒนาสวัสดิการสังคมที่มีประสิทธิภาพ เช่น การพัฒนาระบบการศึกษาสาธารณะและระบบสุขภาพ แต่ยังสนับสนุนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ 4. โลกาภิวัตน์ (Globalization) แนวคิดหลักของ Giddens เห็นว่าโลกาภิวัตน์ เป็นกระบวนการที่ทำให้สังคมทั่วโลกเชื่อมโยงกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โลกาภิวัตน์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น การเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี แต่ก็สร้างความไม่มั่นคงและความเสี่ยงมากขึ้นในระดับบุคคลและสังคม ตัวอย่างรูปธรรม การแพร่กระจายของโซเชียลมีเดีย เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของโลกาภิวัตน์ ซึ่งทำให้คนทั่วโลกสามารถติดต่อและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เทรนด์แฟชั่นหรือเพลงที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคหนึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของโลกภายในเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม โลกาภิวัตน์ยังนำไปสู่ปัญหาความไม่เสถียรในเศรษฐกิจ เช่น การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ค่าแรงต่ำ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียงานในประเทศอุตสาหกรรม 5. การจัดการความเสี่ยง (Risk Society) แนวคิดหลักที่ใช้ Giddens อธิบายว่าในสังคมสมัยใหม่ ความเสี่ยงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมากขึ้น ความเสี่ยงที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แต่เป็นผลมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ เช่น ความเสี่ยงทางการเงินหรือความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงจึงเป็นส่วนสำคัญของการใช้ชีวิตในสังคมสมัยใหม่ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น การที่คนในปัจจุบันต้องคำนึงถึงความเสี่ยงทางการเงิน เช่น การลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความผันผวน หรือการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการตกงานหรือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลให้ผู้คนต้องปรับตัวในการใช้ชีวิต

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...