ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดโครงสร้างหน้าที่นิยมของ Alfred Radcliffe-Brown โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Alfred Radcliffe-Brown เป็นนักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงในด้านมานุษยวิทยาเชิงโครงสร้างหน้าที่ (structural-functionalism) เขาเน้นศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคมในเชิงโครงสร้าง โดยวิเคราะห์บทบาทและหน้าที่ของสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีต่อการรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความมั่นคงของสังคม เขามีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางทฤษฎีของการศึกษาสังคมจากมุมมองโครงสร้างหน้าที่ งานสำคัญของ Alfred Radcliffe-Brown อาทิเช่น 1. The Andaman Islanders (1922) ถือเป็นงานศึกษาชิ้นแรกของ Radcliffe-Brown เกี่ยวกับชาวเกาะ Andaman ในมหาสมุทรอินเดีย งานนี้สำรวจระบบสังคมและพิธีกรรมทางสังคมของชาวเกาะ โดย Radcliffe-Brown พยายามทำความเข้าใจว่าพิธีกรรมและความเชื่อทางศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเสถียรภาพและความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างไร ตัวอย่างเชิงรูปธรรม Brown อธิบายถึงบทบาทของพิธีกรรม "การไว้ทุกข์" ซึ่งมีความสำคัญในสังคมชาว Andaman การไว้ทุกข์ไม่เพียงแต่แสดงถึงความเศร้าสลดต่อการเสียชีวิตของสมาชิกในชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีการหนึ่งในการสร้างความเป็นปึกแผ่นในชุมชน โดยผู้ที่เข้าร่วมในพิธีกรรมจะได้แสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันและยืนยันบทบาทของตนในโครงสร้างทางสังคม
2. Structure and Function in Primitive Society (1952) สาระสำคัญหนังสือเล่มนี้รวมบทความสำคัญของ Radcliffe-Brown ที่เน้นการวิเคราะห์โครงสร้างและหน้าที่ของสังคมดั้งเดิม (primitive societies) เขาเน้นว่าทุกองค์ประกอบของสังคมมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญต่อการรักษาความสมดุลของสังคม เขายังพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของสถาบันต่าง ๆ ในสังคมเพื่อสนับสนุนการดำรงอยู่ของสังคมโดยรวม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือเล่มนี้ Radcliffe-Brown อธิบายว่าการแต่งงานและเครือญาติในสังคมดั้งเดิมไม่ได้เป็นเพียงการเชื่อมโยงทางบุคคล แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างพันธะและความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น การแต่งงานแบบแลกเปลี่ยนในหมู่ชนเผ่าแอฟริกันช่วยสร้างเครือข่ายของความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างเผ่าต่าง ๆ
3. African Systems of Kinship and Marriage (1950) งานนี้ร่วมเขียนกับ Daryll Forde สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้เน้นการศึกษาโครงสร้างของเครือญาติและระบบการแต่งงานในแอฟริกา Radcliffe-Brown พยายามทำความเข้าใจว่าระบบเครือญาติมีบทบาทอย่างไรในการควบคุมและจัดการความสัมพันธ์ทางสังคม โดยเฉพาะในสังคมที่ไม่มีรัฐบาลกลางในการควบคุม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ Radcliffe-Brown อธิบายถึงบทบาทของระบบการแต่งงานแบบแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นวิธีการในการสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคมแอฟริกา ตัวอย่างเช่น ในบางเผ่า การแลกเปลี่ยนผู้หญิงในการแต่งงานระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ไม่เพียงแต่สร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แต่ยังสร้างพันธะทางสังคมและเศรษฐกิจที่เข้มแข็งระหว่างกลุ่มเหล่านั้น
แนวคิดหลักในงานของ Radcliffe-Brown ที่น่าสนใจและสรุปได้คือ 1. ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ (Structural Functionalism) แนวคิดหลักของ Radcliffe-Brown คือ โครงสร้างหน้าที่ ซึ่งหมายถึงการที่สถาบันต่าง ๆ ในสังคมมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญในการรักษาความเป็นปึกแผ่นและเสถียรภาพของสังคม เขามองว่าสังคมประกอบด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน เช่น เครือญาติ ศาสนา การเมือง และเศรษฐกิจ และทุกส่วนเหล่านี้ทำหน้าที่เพื่อรักษาความสมดุลในสังคม 2. การศึกษาพิธีกรรมและศาสนา Radcliffe-Brown มองว่าพิธีกรรมทางศาสนาไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกของความเชื่อส่วนบุคคล แต่เป็นกลไกในการสร้างความเป็นปึกแผ่นทางสังคม พิธีกรรมช่วยในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสมาชิกในชุมชน และเป็นวิธีการจัดการกับความตึงเครียดทางสังคม 3. การเชื่อมโยงระหว่างเครือญาติและโครงสร้างสังคม โดย Brown มองว่าเครือญาติไม่ได้เป็นเพียงการเชื่อมโยงทางสายเลือด แต่เป็นระบบที่มีโครงสร้างหน้าที่ในการจัดระเบียบทางสังคม เครือญาติช่วยสร้างระบบการควบคุมและความร่วมมือในชุมชน ทำให้เกิดความเป็นระเบียบในสังคมโดยไม่มีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายหรือรัฐบาลกลางในการควบคุม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในหนังสือของ Brown 1. ในงาน The Andaman Islanders ของ Radcliffe-Brown อธิบายถึงการไว้ทุกข์ในสังคมของชาวเกาะ Andaman ซึ่งพิธีกรรมนี้มีบทบาทในการสร้างความสมานฉันท์ในชุมชน โดยพิธีกรรมการไว้ทุกข์ช่วยให้สมาชิกในชุมชนได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเป็นวิธีการสร้างความมั่นคงทางสังคม พิธีกรรมนี้ไม่ได้เพียงเป็นการแสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย แต่ยังเป็นกลไกทางสังคมในการยืนยันสถานะและบทบาทของสมาชิกในชุมชน 2. การศึกษาพิธีกรรมในสังคมชาวเกาะแอนดามัน (จาก The Andaman Islanders) โดย Radcliffe-Brown ศึกษาพิธีกรรมการสร้างเกราะหรือเครื่องราง ป้องกันตนเองซึ่งเป็นพิธีกรรมของชาวเกาะ Andaman ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมระหว่างคนในชุมชน เช่น พิธีการทาสีผิวด้วยดินและทำสัญลักษณ์เฉพาะในร่างกายเพื่อป้องกันภัยจากสิ่งเหนือธรรมชาติหรือวิญญาณร้าย พิธีกรรมนี้ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ในการป้องกันความเสี่ยง แต่ยังสร้างความสามัคคีในกลุ่ม เนื่องจากทุกคนมีส่วนร่วมในการทำพิธี 3.การศึกษาโครงสร้างเครือญาติของชาวเผ่าแอฟริกา (จาก หนังสือ African Systems of Kinship and Marriage ) โดย Radcliffe-Brown ยกตัวอย่างระบบเครือญาติของชาวเผ่า Bantu ในแอฟริกาใต้ ซึ่งเครือญาติไม่ได้ทำหน้าที่เพียงการเชื่อมโยงทางสายเลือด แต่ยังเป็นกลไกที่สำคัญในเรื่องการจัดการทรัพยากรและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างคือ "การจ่ายค่าสินสอด" (bridewealth) ที่เกิดขึ้นระหว่างครอบครัวของคู่แต่งงาน สินสอดนี้ไม่ได้มีความหมายเพียงเพื่อการแต่งงาน แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันระหว่างครอบครัวทั้งสองฝ่าย และเป็นวิธีการสร้างเครือข่ายทางสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน 4. พิธีกรรมการแลกเปลี่ยนของขวัญของชาวเกาะ Tikopia (จากหนังสือ Structure and Function in Primitive Society ) Radcliffe-Brown อธิบายถึงการแลกเปลี่ยนของขวัญระหว่างกลุ่มชนในชาวเกาะ Tikopia ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชน การแลกเปลี่ยนของขวัญไม่ได้มีความสำคัญเพียงเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชนต่าง ๆ พิธีกรรมนี้ช่วยลดความตึงเครียดและสร้างความร่วมมือทางสังคมในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ 5. การทำหน้าที่ของระบบกฎหมายแบบดั้งเดิมในสังคมแอฟริกัน (จากหนังสือ African Political Systems ) ในการศึกษาระบบการเมืองของชนเผ่าแอฟริกา Radcliffe-Brown เน้นว่ากฎหมายในสังคมดั้งเดิมมักไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ใช้ระบบเครือญาติและพิธีกรรมในการควบคุมและจัดการข้อพิพาท ตัวอย่างเช่น ในเผ่าหนึ่งในแอฟริกาตะวันตก การแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างกลุ่มมักใช้ "ผู้อาวุโส" ซึ่งมีบทบาทในการเป็นผู้ตัดสินและไกล่เกลี่ย โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบกฎหมายอย่างเป็นทางการ การทำหน้าที่นี้มีผลในการรักษาความสงบเรียบร้อยในชุมชนอย่างยั่งยืน 6. พิธีกรรมการสาบานของชนเผ่าต่าง ๆ ในแอฟริกา (จาก หนังสือ African Systems of Kinship and Marriage") Radcliffe-Brown อธิบายถึงพิธีกรรมการสาบานของชนเผ่าต่าง ๆ ในแอฟริกา ซึ่งใช้เป็นวิธีการในการสร้างพันธะและความไว้วางใจในสังคม เช่น การสาบานเพื่อยืนยันความซื่อสัตย์หรือความเป็นมิตรระหว่างกลุ่ม พิธีกรรมเหล่านี้มีบทบาทในการสร้างความมั่นคงในเครือข่ายทางสังคม โดยการสาบานเป็นการรับรองว่าผู้เข้าร่วมจะปฏิบัติตามข้อตกลงทางสังคมอย่างเคร่งครัด 7. การแต่งงานในสังคมชาวเผ่าชูครี (จาก หนังสือ Structure and Function in Primitive Society) ในสังคมของชาวเผ่าชูครี (Shukree) การแต่งงานมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างเครือข่ายทางสังคมและเศรษฐกิจ Radcliffe-Brown อธิบายว่าการแต่งงานในชุมชนนี้ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การเชื่อมโยงของบุคคล แต่ยังเป็นวิธีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งงานที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานร่วมกันทางเศรษฐกิจและสังคม สรุปงานของ Radcliffe-Brown มุ่งเน้นการวิเคราะห์ระบบสังคมจากมุมมองของหน้าที่ที่แต่ละสถาบันหรือกลุ่มในสังคมทำหน้าที่เพื่อรักษาความมั่นคงและความเป็นปึกแผ่นในชุมชน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...