Alfred Kroeber เป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาชั้นนำของสหรัฐอเมริกา และเป็นลูกศิษย์ของ Franz Boas เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนามานุษยวิทยาในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอเมริกัน Kroeber สนใจศึกษาทั้งวัฒนธรรม วัฒนธรรมทางวัตถุ ภาษา และโครงสร้างทางสังคมของชนเผ่าต่างๆ ในอเมริกาเหนือ
หนังสือสำคัญของ Alfred Kroeber
1. The Handbook of the Indians of California (1925)
สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับชนพื้นเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย Kroeber ได้รวบรวมข้อมูลทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา และวิถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆ ในแคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเข้ามาของคนยุโรป เขาได้บันทึกทั้งประเพณี ศิลปะ และความเชื่อของชนเผ่าเหล่านี้ เพื่อรักษาความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของพวกเขาไว้ในฐานะที่พวกเขาได้รับผลกระทบจากการล่าอาณานิคม
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือเล่มนี้ Kroeber ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชนเผ่า Yurok โดยเขาบรรยายถึงระบบการปกครอง ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และพิธีกรรม เช่น พิธี "World Renewal" ซึ่งเป็นพิธีที่ชนเผ่าเชื่อว่าจะช่วยฟื้นฟูธรรมชาติและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับชุมชนของพวกเขา
2. Anthropology: Culture Patterns and Processes (1948)
สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่สำรวจเกี่ยวกับทฤษฎีและกระบวนการของวัฒนธรรม Kroeber เน้นแนวคิดที่ว่า "วัฒนธรรม" มีรูปแบบและกระบวนการที่สามารถวิเคราะห์ได้ เขามองว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมีปัจจัยต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนด
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ปรากฏในงาน Kroeber อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในเรื่องของ "แฟชั่น" ซึ่งเขามองว่าแฟชั่นเป็นตัวอย่างหนึ่งของรูปแบบวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและแสดงให้เห็นถึงกระบวนการของวัฒนธรรมที่มีการหมุนเวียนอยู่เสมอ
3. Configurations of Culture Growth (1944)
สาระสำคัญในหนังสือเล่มนี้ Kroeber พยายามอธิบายถึงกระบวนการเติบโตของวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในเชิงประวัติศาสตร์ เขานำเสนอแนวคิดว่าไม่เพียงแต่จะวิเคราะห์วัฒนธรรมได้ในเชิงของการพัฒนาในระดับบุคคลหรือกลุ่ม แต่ยังสามารถมองเห็นการพัฒนาในระดับวัฒนธรรมทั้งหมดได้ โดยที่วัฒนธรรมมีรูปแบบที่สามารถวิเคราะห์และทำนายได้
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม* Kroeber นำเสนอการเติบโตของวัฒนธรรมในสังคมยุโรป โดยเขาแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะและความคิดในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ซึ่งเป็นตัวอย่างของ "จุดเปลี่ยน" ที่ทำให้วัฒนธรรมเติบโตและเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์
4. The Nature of Culture (1952)
สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เป็นการรวบรวมบทความสำคัญหลายบทของ Kroeber เกี่ยวกับความหมายและลักษณะของวัฒนธรรม เขาเน้นการวิเคราะห์ว่าทำไมวัฒนธรรมถึงมีรูปแบบที่ต่างกันและมีการพัฒนาอย่างไร เขาอธิบายว่าวัฒนธรรมไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยทางชีววิทยาหรือพันธุกรรมของมนุษย์ แต่เป็นผลมาจากกระบวนการทางสังคม
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม Kroeber อธิบายถึงแนวคิด "superorganic" โดยเขามองว่าวัฒนธรรมมีชีวิตของมันเอง เหนือกว่าการกระทำของบุคคลในสังคม โดยวัฒนธรรมสามารถอยู่ต่อไปได้แม้บุคคลจะเปลี่ยนแปลงหรือหมดไป วัฒนธรรมจึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดโดยธรรมชาติของมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นและสืบทอดต่อไป
สาระสำคัญและแนวคิดหลักในงานของ Kroeber มีดังนี้
1. แนวคิด "superorganic“ คือหนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดของ Kroeber คือวัฒนธรรมไม่สามารถถูกลดทอนลงมาให้เป็นเพียงการกระทำของปัจเจกบุคคล เขาเชื่อว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีชีวิตของมันเองและมีพลวัตที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้เอง
2. การรักษามรดกทางวัฒนธรรม ซึ่ง Kroeber ทุ่มเทความพยายามในการบันทึกและรักษาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคลิฟอร์เนีย เนื่องจากวัฒนธรรมเหล่านี้กำลังเผชิญกับการล่มสลายจากการล่าอาณานิคม
3. วัฒนธรรมในฐานะโครงสร้างสังคม โดย Kroeber มองว่าวัฒนธรรมเป็นโครงสร้างทางสังคมที่มีรูปแบบและกระบวนการที่สามารถวิเคราะห์ได้ เขาเน้นว่าเราสามารถทำความเข้าใจการพัฒนาของวัฒนธรรมได้โดยการศึกษารูปแบบในอดีตและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
งานของ Alfred Kroeber ได้สร้างรากฐานในการศึกษาเรื่องวัฒนธรรม และมีอิทธิพลต่อวงการมานุษยวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาชนพื้นเมืองและการวิเคราะห์กระบวนการทางวัฒนธรรม
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น