ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนะนำหนังสือ The Gift ของ Marcel Mauss โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ระหว่างนั่งรถไม่มีอะไรทำ เพราะ 19.00 น.แล้วยังไม่ถึงบ้าน หนังสือนี้แหละดีที่สุด หนังสือ The Gift: Forms and Functions of Exchange in Archaic Societies โดย Marcel Mauss ผมถือเป็นหนังสือคลาสสิกเล่มหนึ่งของนักเรียน มานุษยวิทยา ซึ่งเป็นการวิเคราะห์การแลกเปลี่ยนของขวัญในสังคมโบราณ และบทบาทของของขวัญในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม Mauss เสนอแนวคิดที่ว่าของขวัญไม่ได้เป็นเพียงวัตถุทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์และพันธะทางสังคมอีกด้วย นับเป็นหนึ่งในงานที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษามานุษยวิทยาเศรษฐกิจ The Gift: Forms and Functions of Exchange in Archaic Societies โดย Marcel Mauss ถือเป็นงานศึกษาทางมานุษยวิทยาที่สำคัญ ซึ่งมีสาระสำคัญที่น่าสนใจดังนี้ 1. แนวคิดเรื่องของขวัญและการแลกเปลี่ยนในสังคมโบราณ โดย Mauss สำรวจวิธีการแลกเปลี่ยนที่ไม่ใช่เพียงการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการแลกเปลี่ยนทางสังคมและศีลธรรม ของขวัญในบริบทนี้ไม่ใช่เพียงสิ่งของที่มีค่า แต่เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ทางสังคมและพันธะทางศีลธรรมที่ผู้ให้และผู้รับมีต่อกัน 2. หลักการของการให้และการรับ โดยMauss เสนอว่าการให้ของขวัญในสังคมโบราณมีลักษณะเป็นวงจรที่ไม่สิ้นสุด ประกอบด้วยสามขั้นตอนคือ การให้ การรับ และการตอบแทน การไม่ปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้อาจนำไปสู่ผลกระทบทางสังคมที่ร้ายแรง เช่น การต่อสู้ ความขัดแย้ง การแย่งชิงทรัพยากร การทำสงคราม เป็นต้น 3. ความหมายทางสังคมและจิตวิญญาณ โดย Mauss ย้ำถึงความหมายที่ลึกซึ้งของของขวัญ ซึ่งรวมถึงการสื่อสารความรู้สึก ความหวัง และความตั้งใจ การแลกเปลี่ยนของขวัญยังสามารถสะท้อนถึงสถานะทางสังคม อำนาจ และพันธะที่มีต่อกันในชุมชน 4. ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุและบุคคล ในหลายวัฒนธรรม วัตถุที่มอบให้กันจะพ่วงมาด้วย "จิตวิญญาณ" ของผู้ให้เสมอ ทำให้ผู้รับต้องมีภาระทางศีลธรรมในการตอบแทน เพราะของขวัญนั้นไม่ได้เป็นเพียงวัตถุ แต่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ให้ด้วย มันคือการเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อได้มาก็ต้องให้ตอบแทนกลับคืน 5. ภาวะของการแลกเปลี่ยนเชิงซ้อน โดย Mauss อธิบายว่าการแลกเปลี่ยนในสังคมโบราณไม่ใช่เพียงการแลกเปลี่ยนที่เป็นเศรษฐกิจ แต่มีความซับซ้อนทางวัฒนธรรม เช่น พิธีกรรมทางศาสนา การสร้างเครือข่ายทางสังคม และการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชน หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อมานุษยวิทยา สังคมวิทยา และทฤษฎีทางเศรษฐกิจ โดยเน้นให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนและการให้ของขวัญเป็นศูนย์กลางของโครงสร้างทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในวัฒนธรรมโบราณ ตัวอย่างที่น่าสนใจจากสังคมโบราณและแนวคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ที่สามารถนำไปใช้ในการศึกษาได้เช่น Potlatch ในหมู่ชนเผ่าพื้นเมืองแถบชายฝั่งแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ โดยMauss นำเสนอพิธีกรรม Potlatch ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนของขวัญในรูปแบบของการบริจาคที่ยิ่งใหญ่และการทำลายทรัพย์สินอย่างหรูหราในสังคมชนเผ่า Kwakiutl และ Tlingit ของชนพื้นเมืองในแถบแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ การกระทำนี้เป็นการสร้างชื่อเสียงและอำนาจแก่ผู้ให้ แต่ก็สร้างพันธะและความกดดันให้กับผู้รับในการตอบแทนด้วยสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกันหรือต้องดีกว่าเดิมที่รับมาด้วย มันคือเรื่องของความโอ้อวดและศักดิ์ศรีเกียรติยศของกลุ่มหรือสายตระกูล Kula Ring ในหมู่เกาะ Trobriand คือตัวอย่างที่มีชื่อเสียงอีกตัวหนึ่งคือระบบ Kula Ring ซึ่งเป็นเครือข่ายการแลกเปลี่ยนของขวัญระหว่างเกาะในหมู่เกาะ Trobriand วัตถุที่แลกเปลี่ยนกันคือสร้อยคอและกำไลที่มีคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ได้เป็นแค่การซื้อขาย แต่เป็นการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายชนเผ่า การไม่ปฏิบัติตามพันธะในการแลกเปลี่ยนนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมถูกทำลายด้วย แนวคิด Hau หรือ "จิตวิญญาณของของขวัญ โดย Mauss อธิบายว่าในหลายวัฒนธรรม ของขวัญมี "Hau" หรือจิตวิญญาณของผู้ให้ซึ่งติดอยู่กับวัตถุ ทำให้ของขวัญมีค่าทางจิตวิญญาณและศีลธรรมมากกว่าค่าทางวัตถุ การรับของขวัญนี้ทำให้ผู้รับมีพันธะต้องตอบแทน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการทำลายความสัมพันธ์และอาจนำไปสู่ผลเสียทางสังคม แนวคิดการแลกเปลี่ยนเชิงสังคมและศีลธรรม โดย แนวคิดหลักของ Mauss คือการแลกเปลี่ยนของขวัญเป็นการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมและศีลธรรม ซึ่งต่างจากการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจในโลกทุนนิยมที่เน้นความสัมพันธ์เชิงวัตถุและผลประโยชน์ส่วนตัว การแลกเปลี่ยนของขวัญในสังคมโบราณมีความหมายเชิงพิธีกรรมและเป็นการสร้างความผูกพันระหว่างบุคคลและกลุ่มชน แนวคิดเรื่องการตอบแทน (Reciprocity) โดยการตอบแทนถือเป็นหัวใจของแนวคิดในหนังสือเล่มนี้ การให้ของขวัญไม่ได้เป็นการกระทำแบบเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของวงจรที่ต้องมีการตอบแทน ซึ่งการตอบแทนนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุอย่างเดียว แต่อาจเป็นการให้บริการหรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยสรุปหนังสือเล่มนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับงานวิจัยทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาในด้านการแลกเปลี่ยนและวัฒนธรรมการให้ของขวัญในสังคมต่าง ๆ ทั่วโลก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...