ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วัฒนธรรมกับเศรษฐกิจ ในหนังสือ Economic Lives: How Culture Shapes the Economy ของ Viviana A. Zelizer

ผมคิดว่าก็คงเป็นเพราะผมต้องการหาอะไรมาเติมเนื้อหาในblog ตัวเอง ที่เป็นพื้นที่ของการเขียนอิสระ เลยต้องขนเอาสิ่งที่เก็บไว้มาเผยแพร่..ตอนนี้กำลังอินกับวิชาที่ชอบสอน แต่ไม่ค่อยได้เปิดสอนเลย เพราะมีวิชาที่ต้องรับผิดชอบเยอะอยู่แล้ว หนังสือ Economic Lives: How Culture Shapes the Economy โดย Viviana A. Zelizer เป็นหนังสือที่สำรวจวิธีที่วัฒนธรรมและเศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง Zelizer ใช้แนวทางเชิงมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาในการอธิบายว่าเศรษฐกิจไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการหรือเรื่องของตัวเลขและการคำนวณ แต่ยังเป็นพื้นที่ที่วัฒนธรรม ความหมาย และความสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทสำคัญมากในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ผทคิดว่าสาระสำคัญและแนวคิดของหนังสือที่น่าสนใจคือมุมมองต่อไปนี้ 1. เศรษฐกิจไม่แยกขาดจากวัฒนธรรม Zelizer ได้โต้แย้งแนวคิดแบบดั้งเดิมที่มองว่าเศรษฐกิจและวัฒนธรรมเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน เธอแสดงให้เห็นว่าการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจมักถูกกำหนดโดยบรรทัดฐานทางสังคม ค่านิยมทางวัฒนธรรม และความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ตัวอย่างเช่น การให้ของขวัญ การซื้อขายสินค้า หรือการทำงาน มักมีความหมายทางวัฒนธรรมและอารมณ์เกี่ยวข้องอยู่เสมอ 2. เงินที่ถูกกำหนดความหมาย (The Social Meaning of Money) เงินมีความหมายที่หลากหลาย Zelizer ชี้ให้เห็นว่าเงินไม่ได้เป็นเพียงแค่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง แต่กลับมีความหมายที่ซับซ้อนและยึดโยงความรู้สึกผูกพันที่หลากหลาย Zelizer นำเสนอว่าคนเรามักจัดการเงินในชีวิตประจำวันอย่างมีความหมายเฉพาะเจาะจง เงินประเภทต่าง ๆ ถูกใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน และมักถูกกำหนดความหมายที่เฉพาะเจาะจง เช่น เงินที่ใช้ในครอบครัวอาจถูกมองแตกต่างจากเงินที่ใช้ในธุรกิจ เป็นเงินที่เก็บไว้สำหรับการศึกษา เงินสำหรับการรักษาพยาบาล หรือเงินสำหรับการทำบุญิและการกุศล อาจมีความหมายแตกต่างจากเงินที่ใช้ในกิจกรรมทั่วไปในสังคม ทั้งหมดนี้มีความหมายและคุณค่าที่แตกต่างกันสำหรับผู้ที่ถือครองหรือใช้จ่ายในบริบทหรือเงื่อนไขที่แตกต่างกัน 3. บทบาทของความสัมพันธ์ส่วนบุคคลในเศรษฐกิจ Zelizer แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เช่น ความรัก มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ในครอบครัว มีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบและการดำเนินการทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวอาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ไม่ถูกนับรวมในระบบเศรษฐกิจทั่วไป แต่กลับมีความหมายสำคัญในบริบททางสังคม 4. การตีความเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ Zelizer สนับสนุนแนวคิดว่าการทำความเข้าใจเศรษฐกิจต้องใช้มุมมองที่กว้างกว่าทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบดั้งเดิม โดยต้องพิจารณาถึงปัจจัยทางวัฒนธรรม สังคม และอารมณ์ Zelizer ชี้ให้เห็นว่าการเพิกเฉยต่อมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของเศรษฐกิจจะทำให้ไม่เข้าใจความซับซ้อนของวิธีที่ผู้คนดำเนินชีวิตในเชิงเศรษฐกิจ 5.เศรษฐกิจแบบฝังตัว (Embedded Economy) โดย Zelizer นำเสนอแนวคิดว่าเศรษฐกิจไม่ได้แยกขาดจากสังคม แต่ถูกฝังอยู่ในบริบททางวัฒนธรรมและสังคมอย่างแนบแน่น ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจจึงถูกกำหนดและมีความหมายขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางสังคม เช่น การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจในครอบครัวหรือในชุมชนจะมีลักษณะและความหมายที่แตกต่างจากในตลาดหรือในองค์กรธุรกิจ 6. เศรษฐกิจทางอารมณ์ (Emotional Economy) Zelizer อธิบายว่าเศรษฐกิจทางอารมณ์เกี่ยวข้องกับการที่ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เช่น ความรัก ความห่วงใย และการเสียสละ ถูกเชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุในครอบครัวมักเป็นงานที่มีมูลค่าเศรษฐกิจแต่ไม่ได้ถูกนับรวมในระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ อาจกล่าวได้ว่า Economic Lives: How Culture Shapes the Economy ได้นำเสนอวิธีการมองเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ โดยเน้นที่การบูรณาการวัฒนธรรมและสังคมเข้ากับการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ผลงานของ Zelizer ช่วยเปิดมุมมองที่กว้างขึ้นในการทำความเข้าใจว่าเศรษฐกิจไม่ใช่แค่เรื่องของการแลกเปลี่ยนที่ว่างเปล่า แต่เป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในโครงสร้างทางวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ของมนุษย์ Viviana A. Zelizerแสดงให้เห็นถึงการบูรณาการของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ บทวิเคราะห์ของ Zelizer ทำให้เราเข้าใจว่าการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้นฝังรากลึกอยู่ในความหมายทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คน ตัวอย่างแนวคิดและกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจที่สามารถเป็นกรอบในการทำความเข้าใจเรื่องนี้คือ 1. การดูแลเด็ก (Childcare) Zelizer ยกตัวอย่างการดูแลเด็กภายในครอบครัวและการใช้จ่ายเงินเพื่อเลี้ยงดูเด็ก โดยอธิบายว่าเงินที่ถูกใช้ในบริบทนี้ไม่ได้เป็นเพียงค่าใช้จ่าย แต่ยังสะท้อนถึงความรัก ความรับผิดชอบ และความคาดหวังต่ออนาคตของเด็ก ๆ อีกด้วย การจ่ายเงินให้กับพี่เลี้ยงเด็กหรือการจัดสรรเงินเพื่อการศึกษาของเด็กถูกกำหนดความหมายเฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงค่านิยมและความสัมพันธ์ในครอบครัว 2. การประกันชีวิต (Life Insurance) ในกรณีของการประกันชีวิต Zelizer แสดงให้เห็นว่าในศตวรรษที่ 19 ในสหรัฐอเมริกา มีการต่อต้านแนวคิดของการทำประกันชีวิต เนื่องจากมันถูกมองว่าเป็นการลดคุณค่าของชีวิตมนุษย์เป็นเพียงเงิน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหมายของการประกันชีวิตได้เปลี่ยนไป การประกันชีวิตกลายเป็นสัญลักษณ์ของความห่วงใยและความรับผิดชอบของผู้ที่ต้องการดูแลครอบครัวในกรณีที่พวกเขาเสียชีวิต 3. การให้ของขวัญ (Gift-Giving) Zelizer พูดถึงการให้ของขวัญว่าเป็นการแสดงออกทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งไม่ใช่เพียงการโอนทรัพย์สินจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง แต่เป็นการสื่อสารทางสังคมที่มีนัยสำคัญ เช่น การให้ของขวัญในงานแต่งงานหรืองานวันเกิด ที่มีความหมายในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและสังคม โดยสรุป Viviana Zelizer นำเสนอว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่สามารถแยกออกจากบริบททางสังคมและวัฒนธรรมได้ กิจกรรมเหล่านี้มีความหมายที่หลากหลายและซับซ้อน ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์และค่านิยมที่อยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างเช่น การใช้เงินในครอบครัวหรือการทำประกันชีวิต ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ยังสะท้อนถึงความหมายทางสังคมและอารมณ์ที่ลึกซึ้งได้อีกด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...