ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มองการเป็นหนี้ในมุมมองบวก …ผ่านเลนส์มานุษยวิทยาเศรษฐกิจ แนะนำหนังสือ นัฐวุฒิ สิงห์กุล

มองการเป็นหนี้ในมุมมองบวก …ผ่านเลนส์มานุษยวิทยาเศรษฐกิจ .. ถ้าว่าด้วยมุมมองเกี่ยวกับเรื่องหนี้สิน หนังสือ Debt: The First 5,000 Years โดย David Graeber เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่น่าสนใจ และน่าจะใช้สอนในวิชามานุษยวิทยาเศรษฐกิจในเทอมหน้า สำหรับนักเรียนทางทานุษยวิทยา Graeber พาพวกเราย้อนกลับไปสำรวจประวัติศาสตร์ของหนี้ (debt) ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงยุคปัจจุบัน โดยเขาเสนอแนวคิดที่แตกต่างจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก และมองว่าหนี้เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ทางสังคมและอำนาจ หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และเป็นตัวอย่างที่ดีของมานุษยวิทยาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมืองและสังคม โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1. ประวัติศาสตร์ของการเป็นหนี้ Graeber ทำการทบทวนประวัติศาสตร์ของการเป็นหนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มจากการศึกษาการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในสังคมดึกดำบรรพ์ การเปลี่ยนแปลงจากระบบการแลกเปลี่ยนแบบไม่เป็นทางการไปสู่การใช้เงินและการเป็นหนี้อย่างเป็นระบบ โดยเขาเสนอว่าการเป็นหนี้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งและการพัฒนาอารยธรรมมนุษย์ 2.การวิพากษ์วิจารณ์ระบบเงินตราและการบริหารจัดการการเงิน หนังสือเล่มนี้วิจารณ์ระบบเงินตราและการบริหารจัดการการเงินในปัจจุบัน โดยเน้นว่าการเป็นหนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการขาดแคลนทรัพยากร แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความไม่เท่าเทียม ความสมดุล รวมถึงความยุติธรรม และมีอิทธิพลต่อการกระจายทรัพยากรและอำนาจ ซึ่ง Graeber ชี้ให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมและผลกระทบที่เกิดจากระบบหนี้ในสังคมสมัยใหม่ เช่น การก่อหนี้ของประเทศและภาคครัวเรือน 3. แนวคิดเรื่องการเป็นหนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี โดยหนังสือเน้นถึงความแตกต่างระหว่างระบบหนี้ที่เป็นไปตามหลักศีลธรรมและระบบที่เป็นการค้าเชิงพาณิชย์ในระบบทุนนิยมที่เป็นลบ Graeber เสนอว่าการเป็นหนี้ในบางช่วงเวลาอาจมีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีและเป็นการกระทำที่มีคุณค่าทางสังคม เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นธรรมของระบบการเงินและผลกระทบต่อผู้ที่ตกเป็นหนี้ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ 4. การเปลี่ยนแปลงในระบบหนี้และการเงิน โดย Graeber ศึกษาการเปลี่ยนแปลงในระบบหนี้ตั้งแต่อดีต โดยอธิบายว่าเหตุใดการเป็นหนี้และระบบการเงินจึงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เขายังสำรวจการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในบริบทของสังคมและการเมือง ตัวอย่างเช่น การยกเลิกหนี้ (debt forgiveness) หรือการปรับโครงสร้างหนี้ในประวัติศาสตร์ 5. ในหนังสือเล่มนี้มีการนำเสนอกรณีศึกษาหลายรูปแบบ โดย Graeber ใช้กรณีศึกษาหลายรูปแบบจากสังคมต่าง ๆ เช่น สังคมโบราณในเมโสโปเตเมีย, สังคมยุคกลางในยุโรป, และการศึกษาการเป็นหนี้ในยุคโลกาภิวัตน์ เขาสำรวจว่าแต่ละสังคมมีวิธีการจัดการกับการเป็นหนี้อย่างไร และผลกระทบที่เกิดจากวิธีการเหล่านั้น 6. การวิพากษ์แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้วิจารณ์แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่มักมองว่าการเป็นหนี้เป็นเพียงปัญหาเชิงเทคนิคที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดการทางการเงิน โดย Graeber ชี้ให้เห็นถึงการไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากระบบหนี้โดยไม่พิจารณาถึงความหมายทางสังคมและวัฒนธรรมของการเป็นหนี้ เข้ามาประกอบด้วย 7. การเสนอแนวทางใหม โดย Graeber เสนอแนวทางใหม่ในการคิดเกี่ยวกับการเป็นหนี้และระบบการเงิน โดยเน้นถึงความสำคัญของการเข้าใจการเป็นหนี้ในบริบทที่กว้างขึ้น และการพิจารณาวิธีการที่สามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน David Graeber ใช้หลายตัวอย่างและให้แนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเป็นหนี้ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจความหมายและผลกระทบของการเป็นหนี้ในบริบทต่าง ๆ ดังนี้ 1. แนวคิดเรื่อง Debt as Social Relationship (หนี้เป็นความสัมพันธ์ทางสังคม) แนวคิดนี้ Graeber อธิบายว่าการเป็นหนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเงินหรือทรัพยากร แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างผู้ให้และผู้รับหนี้ การเป็นหนี้มีบทบาทในการสร้างพันธะและความสัมพันธ์ในสังคม ตัวอย่างเช่น ในสังคมโบราณ เช่น ในเมโสโปเตเมีย การให้ยืมและการกู้ยืมไม่ได้เป็นเพียงธุรกรรมทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่มีผลต่อสถานะและตำแหน่งทางสังคม ระหว่างผู้ให้กับผู้รับ 2. การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เรียกว่า Gift Economy (เศรษฐกิจของขวัญ) ไปสู่ “Market Economy” (เศรษฐกิจตลาด) โดยแนวคิดนี้ Graeber พูดถึงการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจของขวัญ ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม ไปสู่เศรษฐกิจตลาดที่เน้นการแลกเปลี่ยนที่เป็นเชิงพาณิชย์และมูลค่าทางการเงิน ตัวอย่างเช่น ในสังคมโบราณ เช่น โบราณกรีก การแลกเปลี่ยนของขวัญและการให้สิ่งของเป็นวิธีที่สำคัญในการสร้างพันธะทางสังคม ขณะที่การเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจตลาดทำให้การแลกเปลี่ยนกลายเป็นธุรกรรมที่มีมูลค่าชัดเจนและเป็นทางการมากขึ้น 3. กรณีศึกษาของการยกเลิกหนี้ (Debt Forgiveness) แนวคิดนี้ของ Graeber เน้นว่าการยกเลิกหนี้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ การยกเลิกหนี้มักถูกใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเป็นหนี้มากเกินไปและเพื่อฟื้นฟูความยุติธรรม ตัวอย่าง ในสมัยโบราณ เช่น ระบบ “สติสเปียร์” ของชาวสุเมเรียน (Sumerian debt cancellation) ในเมโสโปเตเมีย ซึ่งการยกเลิกหนี้จะเกิดขึ้นเป็นระยะเพื่อป้องกันการเกิดการสะสมของหนี้ที่เกินพอดีและการสร้างความไม่เสมอภาคทางสังคม 4. การวิพากษ์การเป็นหนี้ในสังคมสมัยใหม่โดยแนวคิดนี้ของ Graeber ได้วิพากษ์การเป็นหนี้ในสังคมสมัยใหม่ โดยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากการจัดการหนี้ที่ไม่เป็นธรรมและการทำให้การเป็นหนี้เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น การสร้างหนี้ของประเทศที่เกิดจากการยืมเงินจากต่างประเทศและผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ตัวอย่างเช่น ปัญหาหนี้ของประเทศในแอฟริกาและการพึ่งพาความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ 5. การศึกษาความเชื่อและการปฏิบัติของหนี้ในวัฒนธรรมต่าง ๆ โดยแนวคิดของ Graeber ศึกษาความเชื่อและการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหนี้ในวัฒนธรรมที่หลากหลายเพื่อเข้าใจถึงความหมายและผลกระทบของการเป็นหนี้ในแต่ละสังคม ตัวอย่างเช่นใน วัฒนธรรมของชนเผ่าโบราณ เช่น ในหมู่ชนเผ่ามาไตในเมโซโปเตเมีย การเป็นหนี้ถูกมองว่าเป็นวิธีการสร้างความสัมพันธ์และการแสดงถึงสถานะทางสังคม 6. แนวคิดเรื่อง The Moral Economy (เศรษฐกิจศีลธรรม) โดยแนวคิดนี้ Graeber อธิบายว่าเศรษฐกิจศีลธรรมหมายถึงความเข้าใจและการปฏิบัติทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับค่านิยมทางศีลธรรมและสังคม ความหมายของการเป็นหนี้ในเศรษฐกิจศีลธรรมมักจะเน้นที่ความสัมพันธ์และความรับผิดชอบ ตัวอย่างเช่น การพิจารณาหนี้ในฐานะที่เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมและบุคคลอื่น ๆ มากกว่าการมองว่าเป็นเพียงปัญหาทางการเงินของบุคคล ผม่วาหนังสือ Debt: The First 5,000 Years ของ David Graeber ได้ให้มุมมองต่อเรื่องของการเป็นหนี้ในมุมมองที่กว้างและลึกซึ้ง โดยเน้นให้เห็นถึงบทบาทและความหมายของการเป็นหนี้ในประวัติศาสตร์และสังคมต่าง ๆ รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากระบบหนี้ในปัจจุบัน ให้เราเข้าใจความหมายที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ยังมีอีกหลายชิ้นที่เก็บรวบรวมไว้ ต้องเตรียมสอนวิชา Economic Anthropology ในเทอมหน้า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...