ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สิ่งที่น่าสนใจในหนังสือ The turning point..ของคาปร้า โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

 Capra เขียน The turning point...ที่พูดถึงและวิพากษ์ทัศนะแม่บทหรือกระบวนทัศน์แบบตะวันตกที่ส่งผลต่อวิธีคิด มุมมองต่อโลก และการนำไปใช้สำหรับจัดระเบียบวัฒนธรรม สังคมและการเมือง...กระบวนทัศน์ดังกล่าวในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในช่วงศตวรรษที่19-20 ท้ายที่สุดได้นำพามนุษย์ไปสู่ส่งคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ในเอเชีย แอฟริกา ความขัดแย้งและความรุนแรงต่างๆที่ไม่มีวันสิ้นสุดตลอดประวัติศาสตร์ของโลก

ความคิดภายใต้ตรรกะแบบครอบงำของตะวันตก เมื่อหันกลับมามองที่วิธีคิดแบบตะวันออก ที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ สรรพสิ่งต่างๆและโลกและเติบโตไปพร้อมกัน จริงๆแล้วทัศนะแบบตะวันออก ก็ไม่ได้ต้องการสถาปนาตัวเองเป็นทัศนะแม่บทใหม่ที่เข้ามาแทนที่ทัศนะแบบตะวันตก หากแต่ขอเป็นทัศนะทางเลือกแห่งอนาคต...
คาปร้า พูดถึงวิกฤตการณ์ทางวัฒนธรรม ว่าการที่เราจะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องใช้ทัศนะมุมมองที่กว้างที่สุด ลึกที่สุด ทั้งการเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับโครงสร้างสังคมที่อยู่นิ่งตายตัว เป็นการมองโลกและโครงสร้างทางสังคมในลักษณะที่เปลี่ยนแปลงเป็นพลวัตรไม่หยุดนิ่ง....
การปรับมุมมมอง ในเรื่องวิกฤตการณ์ว่าคือเหรียญอีกด้านหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ในปรัชญาตะวันออก ปรัชญาจีนคำว่าเหว่ยจี้ Wei-Ji หมายถึงวิกฤตการณ์ที่มีสองส่วนประสานสอดคล้องแบบหยินหยาง ในสิ่งที่เรียกว่าวิกฤตการณ์ นั่นคือในวิกฤตการณ์มีลักษณะที่เป็นทั้ง อันตราย และโอกาสในตัวเอง...
คาปร้า อ้างงานของ Toynbee (1972) ในหนังสือ A Study of History ที่ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของอารยธรรมใดๆก็ตาม มักจะเริ่มจากการเปลี่ยนผ่านจากสภาพความหยุดนิ่งตายตัวไปสู่การกระทำที่ยืดหยุ่น มีพลัง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่ว่าอาจเป็นไปโดยธรรมชาติ หรือการได้รับอิทธิพลของบางอารยธรรมที่ดำรงอยู่ก่อนหน้า หรือเกิดจากการแตกสลายของอารยธรรมเดิมของคนรุ่นก่อนก็ได้ ดังนั้นการกำเนิดของอารยธรรม จึงเป็นลักษณะของการท้าทายและตอบโต้ ความท้าทายทั้งกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การเมือง เศรผษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคม ที่นำไปสู่การตอบโต้อย่างสร้างสรรค์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคม....
วิธีคิดแบบสลายขั้วและการมองถึง ภาวะของการประสานสอดคล้องอย่างเกื้อกูลระหว่างสองสิ่ง ดังเช่นวิธีคิดเรื่องหยินหยาง สิ่งที่ดีไม่ใช่ทั้งหยินและหยาง แต่สิ่งที่ดีคือภาวะความสมดุลที่เป็นพลวัตระหว่างสองสิ่ง อย่างขาดกันไม่ได้ ส่วนสิ่งที่ไม่ดีและเลวร้ายคือสิ่งที่เกิดจากความไม่สมดุล...
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการทำความเข้าใจและมองสังคมวัฒนธรรม ภายใต้การถกเถียงแนวคิดทางปรัชญาว่าด้วย วัตถุ (เชื่อว่าวัตถุคือความจริงขั้นสุดท้ายและเป็นจริงที่สุด) จิต (จิตเป็นเพียงการแสดงออกของวัตถุ)มาจนถึงสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ (ความจริงแท้มีทั้งด้านที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสและด้านที่อยู่เหนือขึ้นไป แต่อยู่ร่วมกันอย่างมีเอกภาพ) ที่เชื่อมโยงสองสิ่งที่เป็นคู่ตรงกันข้ามเข้าด้วยกัน ดังเช่นแนวคิดของ Sorokin (1937) ที่พูดถึงการเหวี่ยงกลับของระบบคุณค่า 3 อย่างที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อารยธรรมโลก...
ในวิธีคิดแบบแยกส่วน วัตถุคือสิ่งที่มีอยู่จริง มีตัวตน สัมผัส วัดมันได้ ส่วนจิต คือ สิ่งที่เป็นอัตวิสัย subjectivity เกี่ยวโยงกับเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก การจะวัดสิ่งเหล่านี้จึงต้องทำให้มันเป็น วัตถุวิสัย objectivity เสียก่อน แต่ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแบบนั้น ก็เสมือนตัดสายสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ ต้องตัดตัวแปรที่เป็นด้านอารมณ์ความรู้สึกออกไป หรือทำให้อารมณ์ ควมรู้สึกสามารถวัดได้ ....
แนวคิดแบบควอนตัม connecting of thing ระหว่างผู้สังเกตกับสิ่งที่สังเกต โลกไม่สามาถถูกจำแนกแยกออกเป็นส่วนๆ ที่อยู่ได้อย่างอิสระและอยู่รอดด้วยตัวมันเอง การมองสรรพสิ่งที่ไม่แยกขาดจาก แต่พึ่งพิงซึ่งกันและกัน
เหตุอย่างหนึ่งเกี่ยวเนื่องกับอีกอย่างหนึ่ง เช่น การใช้ยาแก้ปวด มันทำให้เราปวดน้อยลง หรือทำให้เราอดทนกับความเจ็บป่วยน้อยลงกันแน่ หรือ การมีสิ่งอำนวยความสะดวกทำให้เราทุ่นเวลาและรวดเร็ว หรือทำให้เราใช้เวลาอีกแบบหรือส่งผลต่อชีวิตในเรื่องการใช้เวลา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่า interconnection ที่ทำให้เราไม่มองสิ่งใดเพียงมิติเดียวหรือแยกส่วนออกจากกัน อย่างเด็ดขาด
***ในระหว่างช่วงเวลาที่มีคำถามกับสิ่งต่างๆเริ่มหันมาอ่านงานปรัชญามากขึ้นเพื่อเข้าใจตัวเองและสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยเฉพาะปรัชญาตะวันออก หนังสือเล่มนี้ผมเคยอ่านเมื่อสมัยตอนเรียนปริญญาเอก สามสี่ปีที่แล้ว วันนี้เอากลับมาอ่านอีกครั้ง ในระหว่างหาหนังสือที่เกี่ยวกับแนวคิดทางปรัชญาที่เกี่ยวโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่ส่งผลต่อมิติทางเศรษฐกิจ การเมืองสังคมและวัฒนธรรม ในวิชาการเปลี่ยนแปลง ผมว่าเล่มนี้มีครบ ทั้งเดการ์ตและนิวตัน หยินหยางและอื่นๆ ได้เห็นแง่มมุมการปะทะกันของแนวคิดแบบตะวันตกและตะวันออกที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลก ความสำคัญจึงอยู่ที่การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่...


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...