ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การแลกเปลี่ยนแบบ MOKA ในสังคมปาปัวนิวกินี โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล


การแลกเปลี่ยนแบบ MOKA ในสังคมปาปัวนิวกินี
 หมูที่ถูกใช้ในพิธีที่เรียกว่าMOKA หมูและสิ่งของต่างๆจะถูกรวบรวมเพื่อพิธีกรรมนี้

                          หมูจะถูกฆ่าและชำแหละเนื้อมาทำเป็นอาหารเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้มาร่วมงาน
 ผู้ชายของชนเผ่าในปาปัวที่ต้องการจะเป็นๅBig Man เพื่อให้ได้การยอมรับผ่านการจัดงานMOKA



การแลกเปลี่ยนแบบนี้ถูกบรรยายโดย Joel Robbins and Holly Wardlow (2017) ที่กล่าวถึงชาว Melpa ที่อาศัยอยู่ในเขตที่ราบสูงภาคกลางในเขตปาปัวนิวกินี ซึ่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองชาวปาปัวนิวกีนีที่ประกอบอาชีพทำเกษตรกรรมและมีพิธีกรรมที่เกี่ยวการการเฉลิมฉลองว่าด้วยเรื่องหมู(pig feast system) โดยผู้ชายในสังคมที่นี่มีความคาดหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้นำที่เรียกว่า "Big Men" โดยการที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้คุณจะต้องพิสูจน์ตัวคุณเองว่าคุณมีความกล้าหาญในสงคราม(warfare)และในการแข่งขันในพิธีเฉลิมฉลองการให้ของขวัญ(competitive gift-giving ceremonies) ที่เรียกว่า “MOKA”
          เป้าหมายของ Moka  คือเรื่องของการให้มากกว่าการรับ โดยความคิดและการปฏิบัติดังกล่าวนำไปสู่การให้ที่มากกว่าสิ่งที่ผู้รับสามรถจะจ่ายตอบแทนกลับคืนได้ (the recipient can repay ) เมื่อมีการจัดหาและระดมสิ่งของและสินค้าได้เพียงพอแล้วโดยเฉพาะหมู ซึ่งผู้จัดงานก็มีความต้องการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากหลายคนเพื่อให้การรวบรวมและการจัดงานสำเร็จ  การติดต่อการเจรจาและการหว่านล้อมจึงเป็นวิธีการหรือเครื่องมือที่สำคัญที่จะทำให้ได้สิ่งของและหมูมาร่วมงานที่มากขึ้น  จำนวนของหมูอาจจะมีตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักร้อยแล้วแต่ความสามารถของผู้จัดงานเฉลิมฉลองและการรวบรวมสิ่งของอาจใช้เวลายาวนานเป็น10ปีก็ได้ ในแต่ละครั้งของการจัดงานMoka แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ทางสังคม(Social relationship)ในระดับที่มากที่สุด
การจัดงาน Moka ไม่ใช่แค่เพียงรักษาสถานภาพของความเป็น Big Man เท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงเครื่องข่ายของเครือญาติ (network of kinship)ทั้งหมดและพันธมิตรที่นำไปสู่ความสัมพันธ์ในเชิงของการตอบแทนซึ่งกันและกันที่มีความซับซ้อนหลากหลาย (many complex reciprocity relations) นี่คือสิ่งที่แสดงอย่างชัดเจนว่า Moka ไม่ใช่เพียงรูปแบบการให้ของขวัญที่ใหญ่โตอย่างเดียวแต่มันคือการรวบรวบการแลกเปลี่ยนของขวัญที่มีความหลากหลาย ผู้ช่วยเหลือทุกคนจะถูกให้ชื่อและการช่วยเหลือของเขาจะถูกขานและแสดงออกมา ผู้คนจำนวนมาก  ผู้คนที่เป็นผู้รับจะได้รับสินค้าหรือสิ่งของจากผู้จัดงาน
การแลกเปลี่ยนแบบอุปถัมภ์ (Clientage)
              การแลกเปลี่ยนแบบอุปถัมภ์เป็นลักษณะประเภทของการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างหนึ่งที่กระทำผ่านการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ  ภายใต้ความมั่นคั่งและความมีอิทธิพลอำนาจของผู้อุปถัมภ์(Patron) ได้ให้ของขวัญและความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งการสนับสนุนอาหาร การใช้ประโยชน์จากที่ดิน และอื่นๆ ผู้รับการอุปถัมภ์(Clients)จะมีลักษณะที่มั่งคั่งน้อยกว่าหรือไร้อำนาจ โดยผู้รับอุปถัมภ์ไม่เคยคาดหวังว่าตัวเองจะสามารถจ่ายกลบคืนของขวัญให้กับผู้อุปถัมภ์ในความมีเมตตาได้ แต่สามารถตอบแทนอย่างอื่นได้ เช่นการทำงานให้กับผู้อุปถัมภ์ การรับใช้ การเป็นแรงงานในภาคการผลิต เป็นต้น ดังนั้น ผู้รับการอุปถัมภ์จึงเป็นผู้ที่ยอมจำนวน(subservient) การจ่ายตอบแทนกลับคืนพร้อมกับความจงรักภักดีและการให้บริการ(loyalty or service) นี่คือแนวโน้มที่นำไปสู่การสูญเสียศักด์ศรี(dignity)ของผู้รับการอุปถัมภ์ ดังนั้นความสัมพันธ์ทั้งหมดในรูปแบบของการแลกเปลี่ยนนี้มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งอยู่บนชีวิตของผู้ถูกอุปถัมภ์และความสามารถ ความมั่นคงและ พลังอำนาจของผู้อุปถัมภ์









ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...