การศึกษาเกี่ยวกับสัญญะ
เป็นสิ่งที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องของภาษาและความคิด
ภายใต้ข้อถกเถียงกันว่า เราเรียนรู้ภาษาก่อนที่เราจะพัฒนาความคิด
ที่แสดงให้เห็นความสำคัญว่า
ภาษากำหนดความคิดในหนทางของเราเกี่ยวกับโลกที่เป็นเหมือนโครงสร้าง
หรือความคิดของเราเองต่างหากที่กำหนดโลกและสร้างสัญลักษณ์ทางภาษาขึ้นมา
อันนำไปสู่การตั้งคำถามทางปรัชญาเกี่ยวกับเรื่องความคิดของมนุษย์ที่เป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ที่เป็นคุณสมบัติธรรมชาติของการเรียนรู้ของเราที่พึ่งพาอยู่บนประสบการณ์
อันมีรากฐานมาจากแนวความคิดของเพลโต(Plato)เรื่องรูปแบบทางความคิด(Ideal
Forms) ที่เรารับรู้ก่อนประสบการณ์อื่นๆมากมาย
ของวัตถุที่แท้จริงของธรรมชาติมนุษย์
เช่นเดียวกับความรู้แรกเริ่มที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิด ในอีกแนวทางอริสโตเติล(Aristotle)
บอกว่า ความรู้แห่งโลก (Knowledge of World) เป็นสิ่งที่ได้รับจากภาพประทับ
ที่เราได้รับมาจากความรู้สึกความเข้าใจของเรา
ซึ่งแตกต่างจากเรื่องความคิดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดที่อ้างอิงกับการมีอยู่ของความรู้ที่แน่นอนในตัวของมนุษย์
ที่เป็นคนละด้านกับ อริสโตเติล อธิบายเกี่ยวกับความคิดของเด็กเกิดใหม่ที่เรียกว่า Tabula
Rasaในภาษาละติน ที่เหมือนกับคำว่า Blank Tablet ( อ้างจากChapman:2000 ) เหมือนแผ่นกระดานที่ว่างเปล่า
หรือกระดาษที่สะอาด
เด็กเกิดขึ้นมาพร้อมกับการปราศจากความรู้
อันนำไปสู่แนวทางการศึกษาที่แตกต่างของพวกเหตุผลนิยม(Rationalist) เช่นความคิดของไลป์นิซ(Leibniz) ที่มองว่าข้อมูลจากความรู้สึกเข้าใจของเรา
ไม่เพียงพอในการให้ความรู้เกี่ยวกับโลก ที่ต่อมาค้านท์(Kant) ได้อ้างว่า ประเภทชนิดที่แน่นอนของความรู้เริ่มแรก ที่พวกเขาได้รับ
ค่อนข้างจะมีมาก่อนประสบการณ์
ในขณะที่อริสโตเติลค่อนข้างจะมีอิทธิพล กับพวกประสบการณ์นิยม(Empiricist)
อย่างเช่น จอห์น ล็อค(John Lock) ก็มองว่าพื้นฐานส่วนหนึ่งทางความคิด
ความเข้าใจของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
แต่ความรู้ทั้งหมดได้รักษาไว้ในประสบการณ์ของพวกเขา
อันนำไปสู่การศึกษาเกี่ยวกับภาษาและสัญญะที่มีอิทธิพลมากในปัจจุบัน
ในฐานะที่เป็นสิ่งที่กำหนดความคิด สร้างความหมายให้กับมนุษย์
การศึกษาเกี่ยวกับสัญศาสตร์หรือสัญวิทยา
มีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยกรีก ที่คำศัพท์ของสัญญะ ถูกใช้ว่า Semeion หรือ ในภาษาละตินว่า Pural
ta semeia คำว่า Semiotikos
หมายถึงการสังเกตเกี่ยวกับสัญญะ
ผู้ซึ่งตีความหมายหรือคาดเดาความหมายของพวกเขา
โดยการเขียนแรกเริ่มที่น่าเชื่อถือ เริ่มต้นจาก ฮิปโปเครต(Hippocrates)
และพาเมนิเดส(Parmenides) ในศตวรรษที่5ก่อนคริสตกาล ที่นำไปสู่การบรรยายของนักเขียนโรมัน ที่ชื่อซิเซโร(Cicero)แควงติเลียน(Quintillian) ที่เขียนในช่วงคลาสสิค
ที่ใช้ชุดของ Semeion เช่นเดียวกับคำเหมือน (Symnonym
) และคำว่า Tekmerion กับความหมายถึง
เอกสารหลักฐาน(Evidience) ข้อพิสูจน์(proof) หรือการบ่งชี้อาการของโรค(Symptom) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคงถาวร
มีลักษณะชั่วคราว ของการขาดหรือไม่ปรากฎ(Absent) ที่ปิดปังอำพรางทัศนะมุมมองอันแท้จริง(Chapman:2000)
ดังเช่นตัวอย่างคลาสสิค ของควัน(Smoke)เช่นเดียวกับสัญญะของไฟ
หรือเมฆ ที่เป็นตัวบ่งชี้พายุฝนที่กำลังจะเกิดขึ้น สำหรับกะลาสีเรือ
หรือร่างกายที่อุณหภูมิร้อนขึ้น ผิวที่มีสีแดง
เป็นสิ่งที่บ่งบอกความเจ็บป่วยของร่างกาย
ตัวอย่างเหล่านี้เป็นวัตถุที่เราสามารถสังเกตเห็นได้โดยตรง และเป็นสิ่งที่แสดงความรู้สึกด้วย
เช่นหน้าแดงเพราะอาย หน้าบูดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด
สิ่งเหล่านี้ถูกบรรยายอย่างแพร่หลายในยุคกลาง
เช่นเดียวกับการบ่งชี้หรือวินิจฉัยอาการของโรคของหมอหรือนักฟิสิกส์ในยุคกลาง
ในช่วงต่อมาความคิดเกี่ยวกับสัญญะ
ได้ส่งผ่านความตั้งใจกับการศึกษาภาษา
การแสดงออกทางภาษาและการติดต่อสื่อสารของนักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์
และนักปรัชญาชาวอเมริกัน
ที่ได้ประกาศชัยชนะของกระบวนการศึกษาเชิงสัญญะในปรัชญาความรู้ปัจจุบันที่
แวงซ็องต์ เดสก๊อมต์(Vincent Descomb:1986) ได้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนผ่านแนวความคิดทางปรัชญาใน3
ระดับคือ
1.ความคิดเรื่องปรากฎการณ์วิทยา(Phenomenological) ที่มีชัยชนะอยู่บน
ปรัชญาของการเป็นตัวแทน (Philosophy of representation) ที่ความคิด
ความรู้เป็นสิ่งที่ถูกเข้าใจในวัตถุสิ่งของ(Know thing) ที่นำไปสู่การเป็นตัวแทน
2.ความคิดเรื่องศาสตร์เกี่ยวกับการตีความ(Humeneutic) ที่มีชัยชนะอยู่เหนือการดำรงอยู่ของเทววิทยา(onto-theology)
ซึ่งเชื่อว่า
มนุษย์ไม่ได้มีความคิดที่บริสุทธิ์ที่นำไปสู่ขอบเขตทางความจริงที่นิรันดร์
เหตุผลของเราไม่สามารถที่จะมีส่วนร่วมกับความเข้าใจที่สมบูรณ์ได้ มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความก้าวหน้าของกระบวนการตีความหมาย
การตัดสินใจทุกสิ่งของเราไม่ว่าอะไรก็ตาม
3.ความคิดเรื่องสัญวิทยา(Semiological) ที่มีชัยชนะอยู่เหนือ
อภิปรัชญาของการอ้างอิง (Referent) ที่เชื่อว่าความหมาย
ไม่ใช่ความสัมพันธ์กับวัตถุที่เป็นอิสระจากการอ้างอิง
แต่มาจากความสัมพันธ์ของมันกับสัญญะอื่นๆในระบบปิด เราสามารถสรุปว่า
สัญญะอ้างอิงถึงสภาวะความคลุมเครือ ไม่แน่นอนตายตัวของความสมบูรณ์
พร้อมกับสัญญะอื่นๆ
การเปลี่ยนผ่านทางปรัชญาความรู้ทั้งสามระดับ
มีความสัมพันธ์กับการถกเถียงความคิด เกี่ยวกับเรื่องความเป็นองค์ประธานของมนุษย์ (The Human
Subject ) ที่ถูกครอบงำโดยแนวความคิดทางปรัชญาแบบเดสการ์ต ที่บอกว่า
เพราะฉันคิดจึงมีตัวฉัน แต่ปรัชญาของนักสัญวิทยา
ที่เน้นลงไปที่ตัวโครงสร้างทางภาษา ได้ทำลายความเป็นศูนย์กลางของมนุษย์
ที่ตัวของมนุษย์เคลื่อนไหว และมีชีวิตท่ามกลางสัญญะหรือภายใต้โครงสร้างทางภาษา
ตัวของมนุษย์จึงไม่ใช่องค์ประธานที่คิดได้ในตัวเอง
แต่ตัวมนุษย์กลายเป็นร่างทรงของสัญญะ(Sign)หรือบทความ(Text)
ที่ถูกเขียนอยู่ตลอดเวลา
นี่คือสิ่งที่มีอิทธิพลมาจากแนวคิดเรื่องภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างของนักสัญวิทยาทั้งสองท่านคือ
โซซูร์ และเพิร์ซ
ที่ผู้เขียนจะได้แสดงให้เห็รนความคิดของทั้งสองท่านและความแตกต่างในการนำมาประยุกต์ใช้ศึกษาและวิเคราะห์ในเรื่องของสัญญะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น