ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี งานวิจัยและงานศึกษาที่น่าสนใจ


ลำดับเหตุการณ์สำคัญในการเคลื่อนไหวของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี  กรณีโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี
เริ่มต้นจากช่วงปี พ.ศ.2498ที่ได้มีการสำรวจและขุดเจาะหาน้ำบาดาลในภาคอีสาน จนพบว่ามีน้ำเค็มและใต้พื้นดินของภาคอีสานมีน้ำเกลือและเกลือหินปริมาณมหาศาล จนกระทั่งพ.ศ.2516-2519 กรมทรัพยากรธรณีได้ทำโครงการการสำรวจแร่โพแทชและเกลือหินในภาคอีสาน ครอบคลุมพื้นที่แอ่งโคราชแลแอ่งสกลนครจนพบข้อมูลเบื้องต้นว่ามีแร่โพแทชและเกลือหินอยู่หลายแห่ง และเมื่อปีพ.ศ.2523 รัฐบาลไทยประกาศแหล่งสัมปทานทั้งสิ้น15 แห่ง เพื่อเชิญชวนนักลงทุนและผู้สนใจเข้ามาขออาชญาบัตรเพื่อทำการสำรวจและผลิตแร่ในเชิงพาณิชย์  ซึ่งจังหวัดอุดรธานีก็เป็น 1 ใน 15 แห่ง ที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลเป็นพื้นที่ 2,333 ตารางกิโลเมตร พ.ศ.2527 บริษัทเอเชียแปซิฟิกโปแตช คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ได้ทำสัญญาร่วมกับบริษัทอะกริโก โปแตช ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการร่วมลงทุนและพัฒนาโครงการกับประเทศแคนาดา และได้ยื่นขอสิทธิ์ผูกขาดการสำรวจแร่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นสถานการณ์ของารค้าโพแทชในโลกลดลง บริษัทจึงได้หยุดดำเนินการใดๆเป็นระยะเลานานถึง 10 ปี  จนกระทั่งสถานการณ์โพแทชเริ่มดีขึ้น ทำให้ในช่วงปีพ.ศ.2537            บริษัทเอพีพีซี มั่นใจว่าค้นพบแหล่งแร่โพแทชปริมาณมหาศาล จึงได้ทำการขุดเจาะเพิ่มอีก 360 หลุม เป็นหลุมเกลือ 160 หลุม หลุมน้ำ 200 หลุม จึงตัดสินใจที่จะพัฒนาเป็นแหล่งแร่ในเชิงพาณิชย์ โดยการกว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้าน ในเขตบ้านหนองตะไกร้ หนองนาเจริญ เพื่อเป็นที่ตั้งโรงงาน จำนวน 2,500 ไร่ ในราคาไร่ละ 60,000-100,000 บาท ในช่วงพ.ศ.2539         มีปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเอพีพีซี ซึ่งผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยที่เคยมีสัดส่วนหุ้มมากกว่า ได้มีการขายหุ้นให้กับบริษัทข้ามชาติจากประเทศแคนาดา เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และรัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังก็เข้ามาถือหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ในขณะเดียวกันบริษัทเอเชียแปซิฟิกโปแตช คอร์เปอร์เรชั่นจำกัด ทำการสำรวจแล้วเสร็จในพื้นที่ 25 ตารางกิโลเมตร ที่ได้รับสิทธิสำรวจในปีพ.ศ.2540 ในเวลาเดียวกันกับที่คณะรัฐมนตรีผ่านร่างพระราชบัญญัติแร่ ฉบับแก้ไข ปีพ.ศ. 2510 ที่เสนอโดยกรมทรัพยากรธรณี โดยแก้ไขเกี่ยวกับประเด็นเรื่องแดนกรรมสิทธิ์และการทำเหมืองใต้ดินเมื่อปีพ.ศ.2541 ในส่วนของพื้นที่โครงการเหมืองแร่โพแทช บริษัทเอพีพีซี ได้ประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและสภาตำบลหนองไผ่ เพื่อปรึกษาเรื่องการจัดประชุมและประชาสัมพันธ์กับชาวบ้านในพื้นที่ตำบลหนองไผ่ และเข้ามา เข้ามาประชาสัมพันธ์โครงการเหมืองแร่โพแทช กับชาวบ้านในพื้นที่ตำบลหนองไผ่ โดยมีการจัดเลี้ยงโต๊ะจีน ล้มวัวและมีการจ้างหมอลำซิ่งมาแสดงให้ชาวบ้านชม ที่บ้านหนองตะไกร้ ตำบลหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 12-16 มกราคม พ.ศ.2542 และ เข้ามาประชาสัมพันธ์โครงการกับชาวบ้านในเขตตำบลห้วยสามพาด กิ่งอำเภอประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี ที่ศาลาวัดอรุณธรรมรังษี บ้านโนนสมบูรณ์ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับโครงการ
เหตุการณ์สำคัญก็คือ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของบริษัทเอพีพีซี ที่ได้ว่าจ้างบริษัททีม คอนซัลติ้ง จำกัด เป็นผู้ทำการศึกษา ได้ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม  ในช่วงของการได้รับอาชญาบัตรสำรวจ ทั้งที่พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมปีพ.ศ.2535 กำหนดให้ยื่นในช่วงการขอประทานบัตร แต่บริษัทยื่นก่อน จนกระทั่งเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544  องค์กรพัฒนาเอกชน โดยเครือข่ายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมภาคอีสาน เข้ามาให้ข้อมูลกับชาวบ้านในพื้นที่ เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี ในประเด็นเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชนแลพะพระราชบัญญัติแร่ที่มีการแก้ไข และเริ่มมีการเคลื่อนไหวของชาวบ้านในพื้นที่โดยมีตัวแทนชาวบ้านจากกิ่งประจักษ์ศิลปาคม จำนวน 15 คน เข้าร่วมประชุมในกรณีปัญหาโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี ที่เกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510 ที่กำลังเข้าสู่คณะกรรมาธิการร่วม โดยมีตัวแทนจากกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม อ.จอน อึ้งภากรณ์ สว.กรุงเทพฯ  อ.รตยา จันทรเสถียร และอ.ไพโจน์ พลเพชร นักสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมาย ที่ตึกมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม กรุงแทพฯ รวมทั้งการเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงขององค์กรพัฒนาเอกชน ที่เข้ามาร่วมจัดเวทีเสวนา สิทธิชุมชนกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่ศาลาวัดอรุณธรรมรังษี บ้านโนนสมบูรณ์ โดยมีชาวบ้านจาก 10 หมู่บ้านมารับฟัง และมีวิทยากรเช่น ศ.สิวรักษ์รวมทั้งใช้วิธีการยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาและการให้ข้อมูลกับองค์การบริหารส่วนตำบล จนกระทั่งปีพ.ศ.2545 ก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีอย่างเป็นทางการโดยตัวแทนชาวบ้านจาก 16 หมู่บ้าน 3 ตำบล คือ ตำบลห้วยสามพาด ตำบลนาม่วงกิ่งอำเภอประจักษ์ศิลปาคม และตำบลหนองนาคำ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 60 คน ร่วมประชุม ที่ศาลาวัดอรุณธรรมรังษี โดยมีสีประจำกลุ่มคือสีเขียวใบตองอ่อน แทนความหมายของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และมีการประชุมใหญ่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ เลือกประธาน  และคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนจากหมู่บ้านต่างๆรอบโครงการ เพื่อคัดค้านเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี และดำเนินการขึ้นป้ายคัดค้านโครงการละติดธงสัญลักษณ์สีเขียวในแต่ละหมู่บ้าน
ในช่วงปีพ.ศ.2545 มีกระบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของกลุ่มหลายรูปแบบ เช่นการยื่นหนังสือต่อสถานทูตแคนาดา ประจำประเทศไทย เพื่อประณามการกระทำของบริษัทเอพีพีซีที่เข้ามาแทรกแซงการแก้ไขพระราชบัญญัติแร่ที่ละเมิดสิทธิชุมชนคนไทย รวมทั้งเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปฏิรูป (คสร.) อบนมกฎหมายให้กับตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่โครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี จำนวน 40 คน ที่โรงแรมต้นคูณ อุดรธานีและมีการอบรมต่อเนื่องอีกหลายรุ่น การศึกษาดูงานกรณีปัญหาและการต่อสู้ของชาวบ้านอนุรักษ์ลำน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น และชาวบ้านบ่อนอก หินกูด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การ เข้าร่วมประชุมกับหอการค้าจังหวัด เพื่อชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทช และรับฟังความคิดเห็นของหอการค้าจังหวัดต้อโครงการนี้ ก่อนที่จะเข้าชี้แจงต่อเทศบาลตำบลโนนสูง และการลงพื้นที่บำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ร่วมกับคณะกรรมาธิการร่วม เพื่อศึกษาการทำเหมืองแร่โพแทช จากนั้นก็ใช้วิธีการบอกเล่าข่าวสารในพื้นที่เพื่อหาพันธมิตร โดยการเดินรณรงค์เพื่อบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี ให้กับหมู่บ้านต่างๆรอบโครงการในตำบลหนองไผ่ ตำบลโนนสูง ตำบลนาม่วง อำเภอเมืองและตำบลห้วยสามพาด กิ่งอำเภอประจักษ์ศิลปาคมรวมถึงชาวบ้านที่อยู่ในเมืองด้วยนอกจากนี้ก็ยังใช้วิธีการเคลื่อนไหวกดดัน ด้วยการชุมนุมกันที่หน้าศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านทางนายชัยพร รัตนนาคะ ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อเรียกร้องให้จังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาและติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากโครงการเหมืองแร่โพแทช โดยมีตัวแทนชาวบ้านเข้าร่วมเป็นกรรมการชุดนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นการนำเอาประเด็นเรื่องของเหมืองแร่โพแทชเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาและศึกษาในประเด็นนี้อย่างจริงจังโดยมีชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น กระบวนการเคลื่อนไหวมีการพัฒนาเรื่องสื่อโดยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อพื้นบ้าน คือหมอลำที่ร้องกลอนลำเกี่ยวกับเหมืองแร่โพแทช และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางวิทยุชุมชน รวมทั้งจัดการระดมทุนในการเคลื่อนไหวต่อสู้โดยรื้อฟื้นวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การทำนารวมและการจัดงานบุญกุ้มข้าวใหญ่ ทำให้ประเด็นเรื่องเหมืองแร่โพแทชเป็นประเด็นสาธารณะที่ได้รับความสนใจ จนนำไปสู่การจัดสัมมนาโครงการเหมืองแร่โพแทช  จังหวัดอุดรธานี ปัญหาและแนวทางแก้ไข เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2546 ที่อาคารสถาบบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ มาให้ข้อมูลและข้อเสนอแนะ รวมทั้งชาวบ้านในพื้นที่ที่เข้าไปร่วมรับฟัง การเคลื่อนไหวของชาวบ้านได้นำไปสู่การเปิดประเด็นเรื่องรายงานการวิเคราะห์ลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของบริษัทที่แอบทำโดยที่ชาวบ้านไม่รู้และกระทำผิดขั้นตอน ทำให้มีการต่อต้านในพื้นที่มากขึ้น จนนำไปสู่การชะลอโครงการเหมืองแร่โพแทช
ในช่วงนี้บริษัทเอพีพีซีต้องทำรายงานการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมใหม่พร้อมกับการทำกิจกรรมสัมพันธ์อื่นๆกับชุมชนรอบโครงการใหม่ ไม่ว่าจะส่งเสริมอาชีพ ให้ทุนการศึกษา ร่วมงานบุญกฐิน ผ้าป่า จัดแข่งกีฬา หรือให้ค่าลอดใต้ทุนชาวบ้านในพื้นที่ที่จะมีการขุดเจาะอุโมงค์ผ่าน ได้มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญของบริษัทในช่วงเดือนมิถุนายนปี พ.ศ. 2549 ที่ได้ทำการขายหุ้นบางส่วนให้กับบริษัทอิตาเลียนไทย เดเวลล็อปเม้นต์ จำกัด เข้ามาดำเนินกิจการเหมืองแร่โพแทชต่อ ทำให้การต่อสู้เข้มข้นมากขึ้น ทั้งคดีฟ้องร้องของแกนนำชาวบ้าน  กรณีการรื้อถอนหมุดปักเขตทำเหมืองแร่ ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและบริษัท ทำให้ชาวบ้านถูกตั้งข้อหาทำลายทรัพย์สินและต้องขึ้นโรงพัก และขึ้นศาลเป็นประจำ โดยในช่วงนี้ทางกลุ่มอนุรักษ์เริ่มสัมพันธ์กับเครือข่ายสิทธิมนุษยชนและกลุ่มของนักกฎหมาย อาสาสมัครนักกฎหมาย ที่จะเข้ามาช่วยเหลือเรื่องคดีจนชาวบ้านหลุดพ้นจากคดีความ สิ่งที่น่าสนใจในการเคลื่อนไหวประเด็นวิชาการสาธารณะของชาวบ้านในช่วงปี 2548-2554 คือ การชูประเด็นเรื่องเกลือ โดยนักพัฒนาเอกชน นักวิจัยอิสระ ที่มีการให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการเกลืออุตสาหกรรมบ้านดุง บ้านม่วง และมีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการจัดการนโยบายสาธารณะเรื่องเกลืออีสาน รวมถึงการจัดงานมหกรรมสืบสานภูมิปัญญาเกลือพื้นบ้าน เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2550 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี ที่เป็นการเปิดประเด็นเรื่องเกลือขึ้นมาสู้กับเหมืองแร่โพแทชของกลุ่มทุนข้ามชาติ รวมถึงประเด็นเรื่องการประเมินผลกระทบทางสังคมและสุขภาพที่บริษัทเหมืองแร่จะต้องทำร่วมกับรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน ชาวบ้านก็ยังมีการเคลื่อนไหวเพื่อหาพันธมิตรและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้กลุ่มทุนข้ามชาติฉวยโอกาสสร้างเหมืองขึ้นในพื้นที่โดยที่ชาวบ้านไม่ยอมรับ
ข้อมูลการขับเคลื่อนของเครือข่าย
                กระบวนการขับเคลื่อนของเครือข่ายมีกระบวนการที่แตกต่างกันตามพัฒนาการของการต่อสู้กับรัฐและกลุ่มนายทุน ในช่วงแรกจะเป็นเรื่องของการให้ข้อมูล โดยการนำข้อมูลจากรายงานการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของบริษัทเอเชีย แปซิฟิก โปแตช คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด มาสรุปเป็นข้อมูลที่กระชับและเข้าใจง่ายถึงกระบวนการผลิต และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของโครงการ และนำไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในพื้นที่ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทช จากนั้นก็จะใช้วิธีการรณรงค์บอกข้อมูลให้กับชาวบ้านในพื้นที่อื่นๆและตัวเมืองอุดรธานีให้รู้เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานีและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต  นอกจากนี้ทางกลุ่มอนุรักษ์ก็ใช้เวทีทางวิชาการ นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่โพแทชในวงสาธารณะ ทั้งจากชาวบ้าน กรณีปัญหาต่างๆจากการพัฒนาของรัฐ เช่น โครงการอนุรักษ์ลำน้ำพอง ชาวบ้านกลุ่มบ่อนอกและหินกรูด เป็นต้น การเชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้ผลิตเกลือที่บ้านดุงจังหวัดอุดรธานี และที่อำเภอบ้านม่วง อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ซึ่งนำไปสู่การศึกษาในเรื่องของเกลือและเหมืองแร่โพแทชทั้งจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และนักวิชาการในส่วนกลางและในพื้นที่อย่างมากมาย โดยเฉพาะการนำเสนอประเด็นเรื่องนโยบายสาธารณะและกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพยากรเกลือและโพแทชใต้พื้นดินภาคอีสาน และการต่อสู้เคลื่อนไหวของชาวบ้านในพื้นที่โดยใช้วัฒนธรรม ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นในการอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรของตัวเอง รวมถึงการผลักดันให้มีการทำการประเมินผลกระทบทางด้านสังคมและสุขภาพ ซึ่งนำไปสู่การดำเนินการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมใหม่ของกลุ่มทุน  โดยในช่วงเวลาปัจจุบัน มีงานศึกษาวิจัยในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลกระทบทางด้านสุขภาพ และการต่อสู้เคลื่อนไหวของชาวบ้านในพื้นที่มากขึ้น  ซึ่งงานส่วนใหญ่จะทำโดยองค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่ ภายใต้เครือข่ายนิเวศวัฒนธรรมอีสาน และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวผ่านเอกสาร หนังสือ งานวิจัย กับหน่วยงานที่ให้ทุนสนับสนุน รวมทั้งเผยแพร่ผ่านจดหมายข่าวชุมชนคนฮักถิ่นและวิทยุชุมชนในพื้นที่
                งานวิจัย งานวิชาการและงานศึกษา ที่ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่เป็นงานขององค์กรพัฒนาเอกชนที่เป็นพี่เลี้ยงในการต่อสู้เคลื่อนไหว ทีมวิชาการที่ใช้ชื่อว่ากลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา และการทำวิจัยร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคม และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2546 เป็นต้นมา ที่เริ่มก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี เพื่อเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการดังกล่าว งานวิจัยและงานศึกษาที่น่าสนใจ
                กลุ่มศึกษาปัญหาดินเค็มและการจัดการทรัพยากรแร่ภาคอีสาน (2546) ในหนังสือโพแทช : ขุมทรัพย์ใต้ดินของใคร งานชิ้นนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดโครงการเหมืองแร่โพแทชเพื่อใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการทำปุ๋ยเคมี ตั้งแต่การสำรวจจนค้นพบแหล่งแร่โพแทชในจังหวัดอุดรธานีที่เรียกว่าแหล่งสมบูรณ์ ครอบคลุมพื้นที่4 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลห้วยสามพาด ตำบลนาม่วง ในเขตกิ่งอำเภอประจักษ์ศิลปาคม ตำบลหนองไผ่และตำบลโนนสูง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยเป็นโครงการหลักที่กำลังขอสัมปทานการทำเหมืองที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีขนาดของโครงการเป็นลำดับที่สามของโลกต่อจากแคนาดา และรัสเซีย และเป็นเหมืองขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของเอเชีย โดยใช้รูปแบบการผลิตแบบการทำเหมืองอุโมงค์ใต้ดินแบบช่องสลับเสาค้ำยัน (Room and Pillar) โดยกระบวนการผลิตแร่โพแทชดังกล่าวจะสามารถผลิตแร่โพแทชได้ปริมาณ 2 ล้านตันต่อปีและได้เกลือซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการแยกแร่ปริมาณ 4 ล้านตันต่อปี ตลอดระยะเวลา 22 ปีของการทำเหมือง โดยข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับงานของ อ.สันติภาพ ศิริวัฒนาไพบูลย์และสมพร เพ็งคำ (2546) ในงานศึกษาเรื่องเหมืองแร่โพแทช: ผลกระทบต่อสุขภาพที่ถูกมองข้าม ที่ได้ให้ข้อมูลพื้นฐานของโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานีแต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ในบทความชิ้นนี้มีการพูดถึงรายงานผลการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ให้ความสำคัญกับเรื่องมูลค่าทางเศรษฐกิจ จนละเลยมิติทางสังคมและผลกระทบทางด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนในอนาคตและเป็นข้อมูลสำคัญที่ควรคำนึงถึงการตัดสินใจเชิงนโยบาย และเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการทำโครงการพัฒนาต่างๆในพื้นที่
                ในงานศึกษาสำคัญชื้นหนึ่งของเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ได้พยายามชี้ให้เห็นนโยบายของรัฐเกี่ยวกับเรื่องเกลือ เช่นงานของเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ และเบญจรัตน์ เมืองไทย (2548) ในรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่องการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ กรณีศึกษาการจัดการเกลืออีสาน วิถีชีวิตชุมชนสู่อุตสาหกรรม ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ที่ศึกษาเกี่ยวกับนโยบายเกี่ยวกับเรื่องเกลือของประเทศไทย ความสัมพันธ์ของเกลือกับกลุ่มทุน และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่นอุตสาหกรรมกระจก อุตสาหกรรมฟอกย้อมและอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอื่นๆ การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตเกลือทะเลจากภาคตะวันออกมาสู่ภาคอีสาน โดยนำวิธีการทำนาเกลือแบบตากมาใช้ในภาคอีสานรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตเกลือจากการผลิตเกลือแบบพื้นบ้าน ไปสู่การผลิตแบบอุตสาหกรรม ทั้งจากนายทุนในท้องถิ่นและนอกท้องถิ่นที่เรียกว่าการทำนาเกลือ แบบต้มและตาก จนมาถึงการทำเหมืองเกลือทั้งเหมืองละลายเกลือใต้ดินและเหมืองอุโมงค์แบบปิดที่สะท้อนให้เห็นทิศทางหรือนโยบายการพัฒนาประเทศไทยและผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ อันมาจากการปนเปื้อนของเกลือละน้ำเกลือสู่พื้นที่เพาะปลูก แหล่งน้ำอุปโภคบริโภค ป่าไม้ถูกทำลาย การทรุดตัวของพื้นดิน การเปลี่ยนแปลงอาชีพและปัญหาสุขภาพอนามัยที่เกิดจากการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ โดยในงานชิ้นนี้ได้ศึกษาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและจัดการทรัพยากรเกลือแบบต่างๆอย่างครอบคลุมไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ อุตสาหกรรมจังหวัด กรมทรัพยากรธรณี ภาคเอกชน หรือชาวบ้านซึ่งงานศึกษาที่ได้นำไปสู่ข้อเสนอทางยุทธศาสตร์ของการขับเคลื่อนนโยบายเรื่องเกลือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและของประเทศไทย โดยเน้นให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายและการบริหารจัดการเกลือด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพและคำนึกถึงผลกระทบทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม มากกว่าเรื่องเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว สอดคล้องกับงานของจรัญ วงษ์พรหมและธนะจักร เย็นบำรุง(2550) เรื่องเกลืออีสาน ความรู้สู่ยุทธศาสตร์การจัดการอย่างยั่งยืน ที่ให้ข้อเสนอเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรเกลืออย่างยั่งยืนโดยเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมที่จะต้องเกื้อกูลกันอย่างสมดุลระหว่างวิถีชีวิตของประชาชน และทรัพยากร กับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่จะต้องสร้างอำนาจให้กับท้องถิ่นในการตัดสินใจและการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นของตัวเองด้วยการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียงเพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งตัวเองและดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน
                โดยงานศึกษาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการเชื่อมโยงประเด็นโครงการเหมืองแร่โพแทช เข้ากับเรื่องของนโยบายการจัดการทรัพยากรเกลือใต้พื้นดินอีสานที่มีปริมาณมหาศาล โดยเกลือหินเป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญของแร่โพแทชชนิดต่างๆ และเป็นสิ่งที่รัฐและภาคเอกชนต้องการจะพัฒนาและนำทรัพยากรใต้พื้นดินเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ท่ามกลางความขัดแย้งและกรณีปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างชาวบ้านกับรัฐ ชาวบ้านกับกลุ่มนายทุนและระหว่างชาวบ้านด้วยกัน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นทางด้านกฎหมายทั้งพระราชบัญญัติแร่ พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมและ รัฐธรรมนูญ ดังนั้นจะต้องมีการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าวในฐานะเจ้าของทรัพยากรและคนที่อยู่ในพื้นที่พัฒนา
งานอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ที่ใช้ประสบการณ์จากการเคลื่อนไหวและการศึกษาในประเด็นเรื่องการประเมินผลกระทบทางด้านสุขภาพ (HIA) มาเรียบเรียงเป็นหนังสือชื่อ ต่างดวงตา คุณค่าก็แตกต่าง บทเรียนจากการประเมินผลกระทบทางด้านสุขภาพ กรณีโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี โดย บำเพ็ญ ไชยรักษ์ เรียบเรียง งานศึกษาชิ้นนี้พัฒนาจากการสัมมนา เรื่องผลกระทบทางด้านสุขภาพ โครงการเหมืองแร่โพแทช:แนวทางการประยุกต์ใช้ในสังคมไทย เมื่อวันที่ 17-18พฤษภาคม 2546 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ซึ่งได้พัฒนามาสู่งานวิจัยโดยใช้รูปแบบการประเมินผลกระทบทางด้านสุขภาพแบบมีส่วนร่วมเพื่อใช้คาดการณ์ผลกระทบทางด้านสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นจากโครงการเหมืองแร่โพแทช เพื่อเสนอแนะและให้ทิศทางเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี
โดยพูดถึงประเด็นสำคัญก็คือข้อถกเถียงเกี่ยวกับรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ของบริษัททีม คอลซัลติ้ง จำกัด ที่ผ่านความเห็นชอบของผู้ชำนาญการและนำไปสู่การออกประทานบัตรเพื่อก่อสร้างเหมืองแร่โพแทช จะต้องสอดคล้องกับพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 พบว่ามีความบกพร่องหลายประเด็น ทั้งในเรื่องข้อมูลเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ทางสังคมและสุขภาพ โดยเฉพาะประเด็นด้านสุขภาพที่ยังขาดข้อมูล รวมถึงการให้ความสำคัญกับมิติทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม จนลืมมิติทางสังคมและวัฒนธรรมไป ทำให้งานวิจัยชิ้นนี้เกิดขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโครงการในแง่ความเป็นมา  การเปรียบเทียบให้เห็นการดำเนินกิจการเหมืองแร่ในต่างประเทศที่แคนาดา และผลกระทบทางด้านสังคมและสุขภาพที่เกิดขึ้นจากการทำเหมือง สิ่งที่น่าสนใจคือ การทำการศึกษาผลกระทบทางด้านสุขภาพเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี พบว่า ผลกระทบทางด้านร่างกาย จะเกิดกับสองกลุ่มเสี่ยง คือกลุ่มที่ทำงานในเหมือง กับคนที่ไม่ได้ทำงานในเหมืองแต่อาศัยอยู่รอบพื้นที่โครงการ จะเสี่ยงกับโรคทางเดินหายใจและมะเร็งในปอดที่เกิดจากฝุ่นละอองจากการผลิตแร่ การบดเกลือ การแต่งแร่ และกองแร่ที่อยู่บนลานกองเกลือ ผลทางด้านสุขภาพจิต เกิดความกังวลและหวาดกลัวผลกระทบจากการจุดเจาะ จากลานกองเกลือและน้ำเกลือ และความไม่ปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินที่มาจากคนแปลกหน้าที่เข้ามาทำงาน ผลกระทบต่อสุขภาพด้านสังคม คือเรื่องของความแตกแยกในชุมชน การทะเลาะเบาะแว้ง เกิดความขัดแย้งแบ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน รวมทั้งผลกระทบทางด้านสุขภาวะปัญญา ที่เกิดจากการปิดตัวเองในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่รอบด้านเชื่อในเรื่องของเศรษฐกิจ รายได้และการจ้างงานอย่างเดียว ไม่คำนึงผลกระทบด้านอื่นๆ ไม่เปิดรับข้อมูลที่ถูกต้องไม่มีการแยกแยะ อย่างรู้เท่าทันและคำนึงถึงข้อดีข้อเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ งานศึกษาชิ้นนี้จึงเป็นกรณีที่น่าสนใจในการเปิดประเด็นมิติทางด้านสุขภาพที่ศึกษาก่อนการดำเนินงานของกลุ่มทุนหรือโครงการพัฒนาที่จะเข้ามาดำเนินการ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นการศึกษาหลังจากโครงการเกิดขึ้นและมีผลกระทบทางสุขภาพเกิดขึ้น โดยงานศึกษานี้เป็นการประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและเป็นผลกระทบที่พวกเขารู้สึกว่าเกิดขึ้นกับตัวเองทั้งที่ยังไม่มีโครงการในพื้นที่เกิดขึ้น และเป็นข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้นสำหรับการต่อสู้เคลื่อนไหวในพื้นที่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง