![]() |
Ferdinance De Saussure ผู้มีอิทธิพลสำคัญกับแนวคิดโครงสร้างนิยมของเลวี่ สเตร๊าท์ |
เลวี่
สเตร๊าท์ ได้เริ่มประยุกต์ใช้วิธีการทางภาษาศาสตร์ มาศึกษาทางมานุษยวิทยาโครงสร้างของเขา ที่ได้เปิดเส้นทางของการศึกษางานชาติพันธุ์วรรณา ระบบความคิด กฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรม
ที่สัมพันธ์กับเรื่องของภาษา
และมีการรับมาใช้โดยนักสัญวิทยาและวรรณคดีวิจารณ์อย่างโรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes)
และนักโครงสร้างนิยมคนอื่นๆ การร่วมงานกันระหว่างเลววี่
สเตร๊าท์และนักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซีย ที่ชื่อ โรมัน ยาค็อบสัน(Roman
Jakobson;1895-1982) ในช่วงปลายทศวรรษที่1940 ที่จาค็อบสัน
ได้นำรูปแบบความคิดแบบคู่แย้งชองโซซูร์ มาประยุกต์ใช้ศึกษาอาการทางประสาทของการพูดไม่ได้หรือไม่เข้าใจคำพูด
หรือความบกพร่องในการเลือกคำในเชิงกระบวนชุด
และความบกพร่องในการเชื่อมโยงถ้อยคำในเชิงกระแสความ ที่เรียกว่า Aphasia ที่ปรากฎในงานของเขาชื่อ Fundamental of Language ซึ่งเขาสนใจเรื่องการอุปมาเปรียบเทียบ
การใช้สิ่งหนึ่งแทนสิ่งหนึ่ง ที่เป็นเรื่องของการแทนที่ การเป็นตัวแทน
การทดแทนในเชิงกระบวนชุดที่มีลักษณะการรับรู้บนความคล้ายคลึง เรียกว่า คำอุปลักษณ์(Metaphor) เช่นใจแข็งเหมือนเพชร ลูกคือดวงใจของพ่อแม่
และการเชื่อมต่อในเชิงกระบวนชุดที่มีลักษณะการรับรู้ถึงความเกี่ยวเนื่องระหว่างสิ่งสองสิ่ง
เรียกว่า นามนัย(Metonymy) เช่นหัวรถจักร
แทนรถไฟทั้งขบวน สีดำกับความตาย กินโต๊ะ
ล้มมวย แน่นอนว่า การใช้คำแทนที่ หรือเชื่อมโยง เชื่อมต่อกัน
ต้องอยู่ภายใต้ระบบกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรม หรือโครงสร้างร่วมกันในชุมชนที่ใช้ภาษา
ที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน เราอาจบอกว่าใจแข็งเหมือนหินหรือเพชร แต่ไม่สามารถบอกว่า
ใจแข็งเหมือนเมฆหรือปุยนุ่น
ที่ขัดกับกฎเกณฑ์หรือโครงสร้างในกำกับความคิดของเราที่เรายอมรับและคุ้นเคยกับมัน
เช่นเดียวกับแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของเครือญาติ
ซึ่งสะท้อนผ่านการปฎิบัติทางเครือญาติที่กำหนดชุดของความสัมพันธ์
ในวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย
งานทางชาติพันธุ์วรรณาและความคิดของเลวี่
สเตร๊าท์ นับว่ามีความน่าสนใจไม่น้อยในการพัฒนาทางมานุษยวิทยา
ด้วยการประยุกต์ใช้แนวความคิดเรื่องภาษา มาวิเคราะห์ส่วนประกอบของความไร้สำนึก
ในชีวิตทางสังคมของมนุษย์ เช่นเดียวกับนักประวัติศาสตร์ได้อ้างถึงการไม่ตระหนักรู้ของพวกเขา เลวี่-สเตร๊าท์แสดงให้เห็นความแตกต่างในวิธีการของนักประวัติศาสตร์และนักมานุษยวิทยาว่า
ประวัติศาสตร์
จัดระเบียบข้อมูลของมันในความสัมพันธ์ไปยังการสำนึกรู้ของชีวิตทางสังคม
ในขณะที่นักมานุษยวิทยา ดำเนินการโดยการทดสอบ พื้นฐานในความไร้สำนึกของมัน(อ้างจากLevi-Strauss, SA.:1963) การก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ภาษาศาสตร์สมัยใหม่
ในหนทางของนักสังคมวิทยา นักจิตวิทยา นักรัฐศาสตร์และนักมานุษยวิทยา ดังที่มาร์แซล
มอร์ส (Marcel Mauss) ได้พยากรณ์เอาไว้เมื่อ40-50ปีที่แล้วว่า “สังคมวิทยา
จะมีความก้าวหน้าอย่างมั่นคงแน่นอน ถ้ามันมีการติดตาม ไปทุกหนทุกแห่ง
ที่นำไปเกี่ยวกับนักภาษาศาสตร์” (SA:1963) เลวี่-สเตร๊าท์
เป็นนักมานุษยวิทยาที่นำเอาวิธีการของภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างมาใช้ ในการศึกษาเรื่องเครือญาติ ชุดคำของเครือญาติที่เป็นเหมือนระบบของหน่วยเสียง
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความหมายเมื่อถูกรวมเข้าไปในระบบ
และสร้างความคิดในระดับของความไร้สำนึกของมนุษย์ ที่สะท้อนผ่านชุดคำของเครือญาติ
รูปแบบความสัมพันธ์ของเครือญาติ กฎเกณฑ์การแต่งงาน ข้อห้ามทางเพศ
ที่ทัศนคติเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดอย่างคล้ายคลึงกัน ในความสัมพันธ์ที่แน่นอน
เช่นเดียวกับภาษาศาสตร์ที่กระทำอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์
ดังเช่นนักภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างอีกท่านหนึ่งที่ชื่อ N.Troubetzkoy ได้กำหนดนิยามภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างเช่นเดียวกับ โครงสร้างนิยมเชิงระบบ(Systematic
Structuralism) และพวกสากลนิยม(Universalism) ที่ต้องการค้นหารหัส
โครงสร้างที่เป็นสากล ภาพรวมที่ตรงกันข้ามกับพวกปัจเจกชนนิยม(Individualism)
และพวกAtomism ที่เขาได้อธิบายเกี่ยวกับการลดทอนวิธีการทางโครงสร้างกับ
การปฏิบัติพื้นฐาน 4 ลักษณะคือ (อ้างจากLevi
Strauss, SA:1963)
1)ภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง
ก้าวข้ามจากการศึกษาเกี่ยวกับปรากฎการณ์การสำนึกรู้ทางภาษาศาสตร์
ไปสู่สิ่งที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของความไร้สำนึกของพวกเขา (Unconscious
infrastructure)
2) ภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง
ไม่ใช่การรักษาชุดของคำ เช่นเดียวกับการมีอิสระอย่างสมบูรณ์
แต่มันเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชุดคำ (The Relation
between Terms)
3) ภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างแนะนำแนวความคิดเกี่ยวกับระบบ (Concept of
System)
4) ภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง
มีเป้าหมายในการค้นพบและพิสูจน์หลักการหรือกฎเกณฑ์ทั่วไป(General Law) ในการสรุปรวบยอด หรือลดทอนเชิงตรรกะเหตุผล
ที่ได้ให้ลักษณะสมบูรณ์ของพวกเขา
![]() |
ภาษาศาสตร์ และการสื่อสาร |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น