วิพากษ์มุมมองวิธีคิดเรื่องเพศ จากหนังสือ Sexing the Body: Gender Politics and the Construction of Sexuality (2000) ของ Anne Fausto-Sterling โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

การค่อย ๆ ปล่อยวัตถุดิบลงBlog ทุกวันเป็นการฝึกฝนตัวเอง โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว แหล่งค้นคว้ามีมากมาย หลายช่องทาง ไม่ได้จำกัดแค่หนังสืออีกต่อไป แต่มีช่องทางให้ค้นคว้าขบคิด ตั้งคำถามและขยายความคิดต่อได้อย่างไม่สิ้นสุด รวมถึงสร้างพื้นที่พรมแดนทางความรู้ ผมจึงเน้น ให้นักศึกษาหาความรู้ในหลายทาง ไม่ได้ถูกผูกขาดโดยแหล่งใดแหล่งหนึ่งอีกต่อไปเหมือนเดิม และควรเปิดกว้างมากขึ้นด้วย … หนังสือ Sexing the Body: Gender Politics and the Construction of Sexuality (2000) ของ Anne Fausto-Sterling เป็นหนึ่งในงานคลาสสิกที่ทรงอิทธิพลต่อการศึกษาเรื่อง เพศ (sex), เพศสภาพ (gender), sexuality และ อัตลักษณ์ โดยเฉพาะในสาย feminist theory, queer theory, gender studies, และ anthropology งานชิ้นนี้ถือเป็น งานบุกเบิก ในการเชื่อม ชีววิทยา–สังคม–การเมือง ในเรื่องเพศ ทำให้เกิดการถกเถียงและการพัฒนางานวิจัย intersex และ queer studies ในปัจจุบัน อีกทั้งยังถูกใช้เป็นตำราในหลายสาขาสังคมวิทยา, มานุษยวิทยา, gender studies และ public health แนวคิดสำคัญของเธอใน Sexing the Body ประกอบไปด้วยแง่มุมที่น่าสนใจ อาทิเช่น 1. เพศ (Sex) ไม่ใช่แค่เรื่องชีววิทยา โดย Fausto-Sterling โต้แย้งว่า การแบ่งคนออกเป็นชายหรือหญิงตาม “ชีววิทยา” (biological determinism) เป็นการลดทอนความจริงที่ซับซ้อน แนวคิดทาง ชีววิทยา เช่น ฮอร์โมน, ยีน, อวัยวะเพศ, และสมอง ถูกตีความผ่าน กรอบทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ใช่ความจริงตามธรรมชาติ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงและคงที่อย่างถาวร 2. Intersex และความท้าทายต่อระบบ binary ซึ่งเธอชี้ให้เห็นว่า intersex ไม่ใช่เรื่องหายาก (ประมาณ 1.7% ของประชากรโลกเกิดมามีลักษณะ intersex) แต่ระบบแพทย์และกฎหมายพยายาม “แก้ไข” ให้เข้ากับ binary (ชาย/หญิง) เช่น การผ่าตัดอวัยวะเพศตั้งแต่เด็ก 3. Sex/Gender เป็นการก่อสร้าง หรือการประกอบสร้าง (construction) มากกว่า โดยการสร้างความเข้าใจเรื่อง “ชาย/หญิง” เกิดจาก การเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์, การเมืองและวัฒนธรร ตัวอย่างเช่น งานวิจัยเรื่องสมองของชาย-หญิงที่แตกต่างกัน และอธิบายึความเหนือกว่าของผู้ชาย มักสะท้อนอคติทางเพศของนักวิทยาศาสตร์มากกว่าความจริงที่ชัดเจน 4. แนวคิด “Five Sexes” และการท้าทายแนวคิดแบบ binaryหรือ คู่ตรงกันข้าม โดย Fausto-Sterling เคยเสนอแนวคิด “ห้าเพศ” (male, female, herms, merms, ferms) เพื่อท้าทายการแบ่งเพศแบบ binary แม้จะเป็นข้อเสนอเชิงอุปมา แต่ทำให้เกิดการถกเถียงในวิชาการเกี่ยวกับการขยายกรอบคิดเรื่องเพศให้ยืดหยุ่นมากขึ้น 5. วิทยาศาสตร์ไม่เป็นกลาง เนื่องจากวิทยาศาสตร์เองถูกกำหนดด้วยมุมมองแบบ อำนาจและความรู้ ( power/knowledge ) ในแบบที่ Michel Foucault กล่าวคือ สร้างความจริงเพื่อรองรับระบบสังคมที่มีอยู่ ตัวอย่าง การวิจัยทางชีววิทยา, จิตวิทยา, หรือการแพทย์ มักผลิต ความรู้ ความจริงที่ทำให้เพศ binary ดูเหมือนธรรมชาติ ปกติ คั้นลินและไม่ตั้งคำถามหรือวิพากษ์ ผมจึงมองว่างานของเธอมีความโดดเด่นและน่าสนใน เพราะเริ่มต้นจากการสำรวจนิยาม ความหมายของ เพศ, เพศสภาพ, และอำนาจของการนิยามว่าอยู่ที่ใครเธอวิเคราะห์วิธีที่แพทย์และวิทยาศาสตร์กำหนดว่าใครคือ ชายหรือหญิง แนวทางแบบ Intersex Studies ซึ่งใช้กรณีศึกษาของคนที่เกิดมามีโครโมโซม XXY, XO, หรืออวัยวะเพศกำกวม การตั้งคำถามต่อเรื่องของสมองและฮอร์โมนในการกำหนดเพศ วิพากษ์งานวิจัยที่อ้างว่าสมองชาย-หญิงต่างกันชัดเจน แต่เน้นย้ำว่าเพศและการเมืองสัมพันธ์กัน โดยการเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์กับอำนาจรัฐและกฎหมาย (เช่น กฎหมายแต่งงาน, สิทธิความเป็นพลเมือง) สุดท้ายเธอเรียกร้องการยอมรับความหลากหลาย และการขยับจาก binary สู่การเข้าใจเพศแบบพลวัต ลื่นไหล หลากหลาย และยืดหยุ่น ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ที่ผมคิดว่าน่าสนใจในหนังสือเล่มนี้มีดังนี้ 1. กรณี Intersex ในเด็กทารก หากทารกเกิดมามีอวัยวะเพศกำกวม แพทย์มัก “เลือกเพศ” แล้วทำการผ่าตัดและให้ฮอร์โมนเพื่อให้เด็กเข้ากับระบบวิธีคิดเรื่องเพศตาทบรรทัดฐาน โดย Fausto-Sterling ตั้งคำถามว่า นี่คือการละเมิดสิทธิของเด็กหรือไม่ และทำไมสังคมถึงยอมรับสองเพศ เท่านั้น 2. การวิจัยสมองชาย-หญิง ซึ่ง งานวิจัยยุค 1970–1980 ที่อ้างว่าสมองชายใหญ่กว่าหญิง (เชื่อมกับความฉลาด) ถูกวิจารณ์ว่ามี อคติทางเพศ และไม่ได้สะท้อนความจริง เธอชี้ว่านักวิทยาศาสตร์เลือกบางอย่าง ผ่านคุณค่าบางอย่างเพื่อยืนยันสิ่งที่เรียกว่าแม่แบบหรือมาตรฐาน( stereotype) 3. การเมืองเรื่องเพศ ตัวอย่างเช่น กฎหมายการแต่งงานในสหรัฐฯ ที่ต้องอิงกับการนิยาม “ชาย-หญิง” ของรัฐ ไม่ได้ใช้ทั้งประเทศ กรณี intersex บางคนถูกปฏิเสธสิทธิการแต่งงาน เพราะเอกสารประจำตัวไม่ระบุเพศตรงกับเพศสรีระหรือเพศกำเนิดตามวิธีคิดแบบ binary 4. การเชื่อมโยงกับ Queer Theory และ Foucault โดย ใช้แนวคิด “power & knowledge ของ Foucault อธิบายว่า สังคมและรัฐผลิตความจริงทางเพศขึ้นมาเพื่อควบคุมชีวิตผู้คนในสังคมอย่างไร Sexing the Body ของ Anne Fausto-Sterling ( 2000) ได้ให้ตัวอย่างที่น่าสนใจ และสามารถเชื่อมโยงแนวคิดในการวิพากษ์ อย่างเช่น กรณี Intersex และการแพทย์ ตัวอย่างเด็กที่เกิดมามีโครโมโซมแบบ XXY หรือมีอวัยวะเพศกำกวม ที่แพทย์มักตัดสินใจทำการผ่าตัดแก้ไขตั้งแต่เด็ก เพื่อบังคับให้เข้ากับระบบ binary (ชาย/หญิง) โดยไม่ถามความต้องการของเจ้าตัวในอนาคต มุมมองของการวิพากษ์ที่น่าสนใจ คือ วาทกรรมทางการแพทย์ถูกอ้างว่ารักษา แต่จริง ๆ แล้วคือการ กำกับควบคุม (regulation) ร่างกายมนุษย์ ให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานสังคม มุมมองที่ผมคิดว่ามีความ แหลมคมตรงที่ Fausto-Sterling บอกว่า แพทย์ไม่ได้รักษาความผิดปกติทางชีววิทยา แต่กำลังสร้างระเบียบทางเพศของรัฐและสังคม ทำให้เห็นว่า science ≠ neutral นั่นคือวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีความเฃเป็นกลาง แต่เป็นกลไกของอำนาจ ตามแนวคิดของ Foucault 2. โครโมโซมไม่ได้กำหนดเพศแบบตรงไปตรงมาตัวอย่างเช่น คนที่มี XO (Turner syndrome), XXY (Klinefelter syndrome), XXX หรือ XYY ซึ่งแสดงให้เห็นว่า โครโมโซมไม่ได้กำหนดเพศแบบ binary เสมอไป มุมมองของการวิพากษ์ทีมีความน่าสนใจคือ การสังคมและแพทย์พยายามใช้โครโมโซมเป็นเกณฑ์ตัดสินเพศที่แท้จริง แต่ Fausto-Sterling ชี้ว่า โครโมโซมเองก็ไม่ได้ binary ระบบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ถูกทำให้เรียบง่ายเกินจริงเพื่อค้ำจุนแนวคิดแบบ binary gender จุดแหลมคมคือการเปิดโปงว่าแม้แต่รหัสพันธุกรรมก็ไม่ได้เป็นขอบเขตที่ตายตัวของความเป็นชาย/หญิง 3. สมองและฮอร์โมน ตัวอย่างของานวิจัยเก่าที่อ้างว่าสมองของผู้ชายใหญ่กว่าผู้หญิง ดังนั้นผู้ชายจึงฉลาดกว่า มุมมองของการวิพากษ์ที่น่าสนใจ คือ Fausto-Sterling ชี้ให้เห็นว่า วิธีเลือกตัวอย่าง, การตีความสถิติ, และกรอบความคิด ทั้งหมดสะท้อน อคติทางเพศ (sexism) ของนักวิทยาศาสตร์มากกว่าความจริง โดย เธอใช้วิธี deconstruction แสดงว่า การอ้างอิงทางชีววิทยาเพื่อสร้างลำดับชั้นทางเพศ เป็นการผลิตอำนาจและความไม่เท่าเทียม ความแหลมคมทางความคิดอยู่ตรงที่เธอชี้ว่า วิทยาศาสตร์ไม่ใช่การค้นหาความจริง แต่คือการ เขียนเรื่องเล่า (narrative) แบบหนึ่ง 4. กฎหมายและสิทธิพลเมือง ตัวอย่างเช่น คน intersex ที่มีปัญหากับเอกสารประจำตัว เช่น บัตรประชาชนหรือใบเกิดที่ไม่สามารถใส่ M หรือ F ได้ ทำให้ถูกปฏิเสธสิทธิการแต่งงาน หรือการรับมรดก การวิพากษ์ที่น่าสนใจคือทเพศ (sex) ไม่ใช่แค่เรื่องทางชีววิทยา แต่ถูกใช้เป็นกลไกทางการเมืองเพื่อกำหนด สิทธิ-หน้าที่ของพลเมือง โดย Fausto-Sterling โยงให้เห็นว่า รัฐต้องการ binary gender เพื่อความสะดวกในการควบคุม ไม่ใช่เพราะธรรมชาติเป็นแบบนั้นแต่อย่างใด นี่คือการวิพากษ์แบบ Foucauldian ที่มองว่าเพศกลายเป็น biopolitics คือการควบคุมร่างกายและชีวิตมนุษย์ 5. แนวคิด “Five Sexes” คือตัวอย่างมี่น่าสนใจ ซึ่ง เธอเสนอการแบ่งออกเป็น ห้าเพศ ได้แก่ Male, Female, Herms (true hermaphrodites), Merms (male pseudo-hermaphrodites), Ferms (female pseudo-hermaphrodites) การวิพากษ์ที่น่าสนใจคือการมองว่า ข้อเสนอนี้ไม่ใช่สูตรจริง ต้นแบบจริง แต่คือการยั่วยุให้สังคม ตี้งตำถามและ ตระหนักว่า binary เป็นเพียงการเลือก ไม่ใช่ธรรมชาติ จุดแหลมคมทางความคิดของเธอคือ เธอใช้วิธี provocation หรือการตั้งคำถามเชิงก่อกวนเพื่อเขย่าระบบคิดที่ฝังราก โดยเธอชี้ว่า ไม่ว่าเราจะกำหนดกี่เพศก็ตาม สุดท้ายมันก็เป็น social construction อยู่ดี 6. Sexualityคือ ผลผลิตของวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ( Product of Science + Culture) ตัวอย่างเช่น ประวัติศาสตร์ที่แพทย์และจิตแพทย์เคยนิยาม homosexuality เป็นโรค (DSM) และมีการรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า หรือการบำบัดด้วยยา กลาย เป็นแนวทางสำคัญในการรักษาในช่วงเวลานั้น มากกว่าการทำความเข้าใจความหลากหลายทางเพศ การวิพากษ์ที่น่าสนใจคือ การที่เธอชี้ว่าเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศถูกทำให้เป็นโรค คือผลผลิตจากความสัมพันธ์ของ วิทยาศาสตร์ ศีลธรรม และการเมือง Fausto-Sterling สะท้อนความแหลมคมทางความคิด ตรงที่เปิดโปงให้เห็นว่า สิ่งที่เราคิดว่าเป็นข้อเท็จจริงทางชีววิทยา มักสะท้อนบรรทัดฐานทางสังคมมากกว่าธรรมชาติ จุดแหลมคมทางความคิดเรื่องเพศของหนังสือ คือการแทรกแซง บ่อนเซาะความเป็นธรรมชาติ (Disrupting the Naturalness ) เพศไม่ใช่สิ่งธรรมชาติที่ตายตัว แต่เป็นผลของการต่อรองระหว่างชีววิทยา การแพทย์การเมือง และ วัฒนธรรม รวมทั้งการเปิดโปงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ไม่ปลอดจากอคติแต่เป็นเรื่องของอำนาจ (Expose Science as Power ) วิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจในการควบคุม ไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์ที่เป็นกลางแต่อย่างใด อีกประเด็นมี่ผมคิดว่าน่าสนใจคือ คงามท้าทายความนิดแบบคู่แย้งหรือตู้ตรงกันข้าม (Challenge Binary ) ระบบสองเพศ (ชาย/หญิง) เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของสังคมและรัฐ ไม่ใช่ความจริงสากล รวมถึงการเปิดพรมแดนของมิติทางด้านสิทธิมนุษยชน ( Human Rights Perspective ) โดยการจัดการกับ intersex โดยไม่ฟังเสียงของเจ้าของร่างกาย คือการละเมิดสิทธิและเป็นการบังคับอัตลักษณ์(identity)จากภายนอก ไม่ใช่เกิดจากภายใน สรุป หากมองปนะเด็นเรื่องเพศภายใต้กรอบแบบ ชีววิทยา (Biology) เราจะมองผ่านโครโมโซม, ฮอร์โมน และอวัยวะเพศหรืออวัยวะสืบพันธุ์ หากมองผ่านมิติทางสังคม (Society) เราจะมองผ่าน วัฒนธรรมค่านิยม และ ศาสนา ถ้ามองผ่านการเมือง (Politics) → กฎหมาย, นโยบายรัฐ และ สิทธิพลเมือง ที่เราจะเห็นความเชื่อมโยงกัน และเป็นจุกเริ่มต้นของการทำความเข้าใจและวิพากษ์มัน… ผมว่าแนวคิดของ Fausto-Sterling ยังคงมีความร่วมสมัยและน่าสนใจ ในการมองความหลากหลาย ทางเพศ การวิพากษ์ความรู้และอำนาจ รวมทั้งการตั้งคำถามต่อความเป็นวิทยาศาสตร์ที่พยามผูกขาดความรู้ โดยเฉพาะความรู้เรื่องเพศ และเพศวิถี ได้ประเด็นชวนคุยกับนักศึกษาในงิชามานุษยวิทยาว่าด้วยเพศและเพศวิถีแล้ว

ความคิดเห็น