Margaret Mead และกัญชา: มานุษยวิทยากับการท้าทายสังคม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Margaret Mead และกัญชา: มานุษยวิทยากับการท้าทายสังคม มาร์กาเร็ต มี๊ด (Margaret Mead) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน เธอเกิดปีค.ศ. 1901 ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงาน Coming of Age in Samoa โดยเธอศึกษาวัฒนธรรมการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของวัยรุ่นในซามัว งานชิ้นนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อความเข้าใจเรื่องเพศและการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในทศวรรษ 1960 เธอเขียนและร่วมเขียนหนังสือกว่า 40 เล่ม โดยเฉพาะ Sex and Temperament in Three Primitive Societies (1935) ที่ชี้ให้เห็นว่าพลังทางเพศและอำนาจในบางสังคมขึ้นอยู่กับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งมีอิทธิพลต่อขบวนการสตรีนิยมในตะวันตก แม้ผลงานของเธอจะถูกใช้ถกเถียงในแวดวงวิชาการก็ตาม แต่ Mead ก็กลายเป็นบุคคลสำคัญของวงวิชาการทางมานุษยวิทยา เธอยังเคยเป็นประธานสมาคมมานุษยวิทยาอเมริกัน และยังเป็นผู้นำของ สมาคม American Association for the Advancement of Science ด้วย ความคิดของ Margaret Mead กับกัญชา สิ่งที่ทำให้ Mead กลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์กัญชาคือ จุดยืนสาธารณะของเธอ เนื่องจากในช่วงปีค.ศ. 1969 เธอขึ้นให้การต่อหน้าสภาคองเกรส เพื่อ สนับสนุนการทำให้กัญชาถูกกฎหมาย โดยยืนยันว่ากัญชาไม่ได้เป็นอันตรายต่อสังคม ต่อมาในปีค.ศ. 1970 Mead ยอมรับผ่านนิตยสาร Newsweek ว่าเธอเองก็เคยลองใช้กัญชา แม้ไม่เคยสูบบุหรี่ก็ตาม โดยเธอมองว่ากฎหมายที่ห้ามกัญชาเกิดจากความกลัวสิ่งที่คนรุ่นก่อนยังไม่เข้าใจคล้ายกับการตีตราแอลกอฮอล์หรือบุหรี่ในอดีต นอกจากนี้ Mead ยังชี้ว่ากัญชาอาจเป็นยาที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ และการห้ามกลับสร้างผลเสียมากกว่า เช่น การทำลายความไว้วางใจระหว่างผู้ใหญ่กับเยาวชน คำกล่าวของ Mead ทำให้เธอถูกวิจารณ์อย่างหนัก เช่น ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาเคยดูหมิ่นเธอว่าเป็น “หญิงชราสกปรก” และเธอยังถูกล้อเลียนในหนังสือพิมพ์เป็นแม่มด ตรงกันข้าม กลุ่มฮิปปี้กลับยกย่องเธอในฐานะสัญลักษณ์ที่ท้าทายค่านิยมเก่าที่ล้าหลัง หลังจาก Mead เสียชีวิตในปีค.ศ. 1978 Mead ได้รับ เหรียญแห่งอิสรภาพของประชาชน (Presidential Medal of Freedom) ตอกย้ำถึงอิทธิพลทางความคิดที่เธอฝากไว้ แนวคิดเกี่ยวกับกัญชาในมุมมองมานุษยวิทยา มองว่ากัญชาเป็นมากกว่าสารเสพติด แต่เป็นพืชแห่งพิธีกรรมที่ปรากฏในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ทั้งในฐานะยา เครื่องมือทางจิตวิญญาณ และสัญลักษณ์ทางสังคม งานชาติพันธุ์วิทยาในพื้นที่อย่าง คาตาโลเนีย แสดงให้เห็นว่า พืชออกฤทธิ์ทางจิตโบราณ (Ancient Psychoactive Plants: APP) อย่างกัญชาและไอวาสกา ถูกผสานเข้ากับชีวิตประจำวันและพิธีกรรมของชุมชน พิธีกรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดอันตราย แต่ยังสร้างสายสัมพันธ์ในชุมชน บทสรุป ประสบการณ์ของ Mead และงานวิจัยทางมานุษยวิทยาชี้ให้เห็นว่า กัญชาไม่ควรถูกมองเพียงในมิติความเสี่ยงหรืออันตราย เท่านั้น แต่ยังควรถูกพิจารณาในแง่ประโยชน์ จิตวิญญาณ และบริบททางสังคม ในความเป็นจริง การใช้สารเสพติดส่วนใหญ่ในโลก ไม่ได้ก่อปัญหา และผู้ใช้จำนวนมากมีวิธีควบคุมตนเองผ่าน พิธีกรรม การเรียนรู้ระหว่างรุ่น และแรงสนับสนุนจากเพื่อนฝูง ดังนั้น การพัฒนานโยบายด้านยาที่ชาญฉลาด ควรผสมผสาน ข้อมูลชีวการแพทย์ เข้ากับ มุมมองชาติพันธุ์วิทยาและวัฒนธรรม เพื่อเข้าใจการใช้ยาในฐานะส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมนุษย์ มากกว่าการตีตราว่าเป็นเพียงภัยคุกคามหรืออันตรายเพียวอย่างเดียว เรื่องราวของ Margaret Mead จึงไม่ใช่เพียงประวัติของนักมานุษยวิทยาคนหนึ่ง แต่เป็นภาพสะท้อนการต่อสู้ระหว่าง ความรู้ วัฒนธรรม และอำนาจ ที่ยังคงร่วมสมัยมาจนถึงทุกวันนี้… และผมว่าบางเรื่องเราต้องมองมันอย่างรอบด้าน และมองแง่มุมในเชิงบวกเชิงลบ อย่างเข้าใจภายใต้บริบทของผู้คนและพื้นที่

ความคิดเห็น