เวทมนตร์ขาวและเวทมนตร์ดำ : ความเชื่อ ประสบการณ์ และการจัดการความไม่แน่นอน ในเศรษฐกิจสมัยใหม่ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
เวทมนตร์ขาวและเวทมนตร์ดำ : ความเชื่อ ประสบการณ์ และการจัดการความไม่แน่นอน ในเศรษฐกิจสมัยใหม่
แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ใช้คำว่า เวทมนตร์ (Magic) เพื่ออธิบายการกระทำเชิงศาสนาที่ผู้คนเชื่อว่ามีประสิทธิผลในตัวเอง แม้ผลนั้นจะไม่สามารถพิสูจน์เชิงประจักษ์ได้ ขณะที่บรอนิสลาฟ มาลินอฟสกี้ (Bronislaw Malinowski) ให้นิยามเวทมนตร์ว่าเป็น “การใช้วิธีเหนือธรรมชาติ (supernatural means)” เพื่อบรรลุผลบางอย่าง โดยแยกเวทมนตร์ออกจากศาสนา
มนตร์ขาว (White Magic) มักถูกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น พิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชผล ความสำเร็จในการล่าสัตว์ หรือการรักษาโรค ตัวอย่างเช่น หมอผีในหมู่ Juang แห่งโอริสสา หรือเวทมนตร์การตกปลาของชาวเกาะ Trobriand ที่ใช้เฉพาะเมื่อต้องออกทะเลลึกที่มีความเสี่ยงสูง ต่างจากการตกปลาน้ำจืดซึ่งไม่ต้องใช้เวทมนตร์แต่อย่างใด
มนตร์ดำ (Black Magic) กลับถูกเชื่อมโยงกับอันตราย ความเจ็บป่วย และความตาย ตัวอย่างเช่น คาถาสาปแช่งหรือ “ดวงตาปีศาจ” (evil eye) ที่เชื่อกันว่าสามารถทำลายผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ บางสังคม เช่น Dobuans แห่งแปซิฟิกตะวันตก กลับใช้มนตร์ดำในเชิงสังคม เช่น การลงโทษหัวขโมย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเส้นแบ่ง “ดี–ชั่ว” ไม่ได้ตายตัว แต่แปรผันตามบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง
การป้องกันเวทมนตร์มักอยู่ในรูปของเครื่องรางของขลัง การสวดคาถา การบูชา หรือการแสวงบุญ เพื่อสร้างกลไกทางสังคมและจิตวิญญาณในการรับมือกับภัยคุกคาม
ในประวัติศาสตร์ ยุคเรอเนซองส์ได้ตีตราพิธีกรรมหลายอย่างว่าเป็น “มนตร์ดำ” และถือเป็นสิ่งนอกศาสนา การไต่สวนแม่มดสะท้อนพลวัตอำนาจที่เชื่อมโยงระหว่างศาสนา ความรู้ และการควบคุมสังคม ขณะที่ในเมโสโปเตเมียโบราณ เวทมนตร์ถูกมองทั้งในเชิงสร้างสรรค์และทำลายไปพร้อมกัน ความคิดเรื่องการแบ่งขั้วดี–ชั่วชัดเจนขึ้นในลัทธิโซโรอัสเตอร์ของเปอร์เซีย ซึ่งสร้างคู่ตรงข้าม Ahura Mazda (ความดี) และ Angra Mainyu (ความชั่ว) และส่งผลต่อการจัดตั้งศาสนจักรและการปราบปรามคนนอกรีต
นักสังคมวิทยา มาร์เซล มอสส์ (Marcel Mauss) ชี้ว่า เวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งที่สูญหายไปในอดีต แต่เป็น “ปรากฏการณ์ทางสังคม” ที่ปรากฏซ้ำในทุกสังคมและทุกยุคสมัย เวทมนตร์จึงสะท้อนพลังเชิงสัญลักษณ์ที่คนรอบข้างให้คุณค่า และแสดงบทบาทในฐานะกลไกการจัดการกับความไม่แน่นอนของชีวิต
ภาวะของความไม่แน่นอน (uncertainty) เป็นเงื่อนไขสากลของมนุษย์ ตั้งแต่การเจ็บป่วยเฉียบพลัน ความตายโดยไม่คาดคิด ความล้มเหลวในการทำมาหากิน ไปจนถึงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ พิธีกรรม ศาสนา และเวทมนตร์จึงกลายเป็น “กลยุทธ์เชิงสัญลักษณ์” ที่สังคมพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยง ความคลุมเครือ และเหตุการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า เวทมนตร์มิได้เป็นเพียงเรื่องลึกลับหรือความเชื่อดั้งเดิม แต่ยังเป็น “เครื่องมือทางสังคม” ที่ช่วยให้มนุษย์เผชิญหน้ากับโลกที่คาดเดาไม่ได้ มันเป็นทั้งการตีความเหตุการณ์ และการสร้างกลไกเชิงปฏิบัติในการจัดการชีวิต ระหว่างขาวกับดำ ดีและชั่ว ซึ่งแท้จริงแล้วขึ้นกับสายตาของสังคมที่นิยามมัน
หากเราลองพิจารณาประเด็นนี้ผ่านสายตาหรือมุมมองทางความคิดของ Ulrich Beck นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่เสนอแนวคิดเรื่อง สังคมและความเสี่ยง( Risk Society ) เราจะเห็นว่าเวทมนตร์คือหนึ่งในกลไกดั้งเดิมที่สังคมมนุษย์ใช้ในการจัดการ “ความเสี่ยง” (risk) และ “ความไม่แน่นอน” (uncertainty) ก่อนที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะเข้ามาแทนที่
Beck ชี้ให้เห็นว่า แม้โลกสมัยใหม่จะเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ความเสี่ยงไม่ได้หายไป หากกลับถูกผลิตซ้ำในรูปแบบใหม่ เช่น ภัยสิ่งแวดล้อม นิวเคลียร์ พันธุวิศวกรรม หรือแม้แต่ความเสี่ยงในเชิงเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ ความคลุมเครือเหล่านี้ทำให้ผู้คนหันกลับไปหา กลไกทางสัญลักษณ์ เช่น เวทมนตร์ พิธีกรรม หรือศาสนา เพื่อหาความมั่นคงทางใจ เหมือนกับที่สังคมโบราณใช้มนตร์ขาวเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ และใช้มนตร์ดำเพื่อควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกในชุมชน
ในอีกด้านหนึ่ง แนวคิดของ Michel Foucault เปิดมุมมองที่แตกต่างออกไป เขาเสนอว่า “เวทมนตร์” ไม่เพียงเป็นความเชื่อ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของ ระบอบความรู้–อำนาจ (regime of knowledge–power) ที่ทำงานในสังคม
ในยุโรปยุคกลาง “มนตร์ดำ” ถูกทำให้เป็นอาชญากรรม ผ่านการไต่สวนแม่มดและการตีตราว่าเป็น “คนนอกรีต” สิ่งนี้สะท้อนกระบวนการที่รัฐและศาสนจักรใช้อำนาจควบคุมความรู้ เพื่อสร้างเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ “อนุญาต” และ “ต้องห้าม”
Foucault จะมองว่า การจัดแบ่ง “มนตร์ขาว–มนตร์ดำ” มิใช่เพียงเรื่องศีลธรรม แต่เป็นผลลัพธ์ของกลไกการจัดระเบียบ (discipline) และการควบคุม (control) ของสถาบันทางศาสนาและการเมือง การที่เวทมนตร์ถูกผลักให้เป็น ความรู้ต้องห้าม ยังสะท้อนพลวัตเดียวกับการจัดระเบียบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่นิยามสิ่งใดเป็น rational และสิ่งใดเป็น irrational
เมื่อมองจากทั้ง Beck และ Foucault เราอาจกล่าวได้ว่า เวทมนตร์ไม่ใช่เพียงซากความเชื่อดั้งเดิมที่หมดความหมายไปแล้ว แต่ยังเป็นสนามของความเสี่ยง และ พื้นที่การต่อสู้เชิงอำนาจ
ในระดับปัจเจก เวทมนตร์ทำหน้าที่ให้คำอธิบายและวิธีจัดการกับความไม่แน่นอน ในระดับสถาบัน เวทมนตร์สะท้อนการนิยามอำนาจของรัฐ ศาสนา และวิทยาศาสตร์ ที่พยายามควบคุม “สิ่งที่เชื่อได้” และ “สิ่งที่ห้ามเชื่อ”
หากเอาปรากฏการณ์ ทางสังคมวัฒนธรรม มาพิจารณาเรื่องเครื่องรางออนไลน์และไสยศาสตร์เชิงพาณิชย์กับเวทมนตร์ในสังคมความเสี่ยง
ในสังคมไทยและหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราพบการกลับมาของเวทมนตร์และไสยศาสตร์ในรูปแบบที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การสั่งซื้อเครื่องรางออนไลน์ พระเครื่องรุ่นพิเศษผ่านไลฟ์สด หรือแม้แต่การทำพิธี “ออนไลน์” ผ่าน Zoom หรือ Facebook Live ความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้หายไปตามความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ หากแต่ถูก รีแบรนด์ (rebranded) ให้สอดรับกับโลกสมัยใหม่ 1. ในมุมมองของ Ulrich Beck – Risk Societyทางเครื่องรางและพิธีกรรมในยุคดิจิทัลคือ กลไกการจัดการความเสี่ยง ของปัจเจกและสังคม ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เช่นภาวะเศรษฐกิจผันผวน ที่เชื่อมโยงกับเครื่องรางเสริมโชคลาภ การเงิน หรือในช่วงโรคระบาดโควิด-19 เครื่องรางป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ หรือในกรณีจองสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางความรักและการงาน เครื่องรางความรักและ ความสำเร็จ
Beck จะบอกว่า แม้เราจะมีเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า แต่ “ความกลัว” และ “ความไม่มั่นคง” ผลิตซ้ำอยู่ตลอดเวลา ผู้คนจึงยังต้องหาคำอธิบายและเครื่องมืออื่นๆ นอกเหนือจากวิทยาศาสต์และนี่คือที่มาของการพึ่งพาไสยศาสตร์เชิงพาณิชย์
2. ในมุมมองของ Michel Foucault – Power/Knowledge อธิบายได้ว่าไสยศาสตร์เชิงพาณิชย์เป็น พื้นที่ต่อรองของอำนาจและความรู้
รัฐและศาสนจักรอาจตีตราบางรูปแบบว่างมงายหรือ ผิดกฎหมาย ตัวอย่างเช่น พิธีกรรมหลอกลวงและมอมเมา แต่ในเวลาเดียวกัน สถาบันศาสนาก็ยังสร้างพระเครื่องรุ่นพิเศษเพื่อหารายได้ แสดงให้เห็นถึง เกมอำนาจ ในการกำหนดว่าเวทมนตร์ใดถูกต้องและเวทมนตร์ใดที่ต้องห้าม
โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลก็ทำหน้าที่คล้ายกับ ผู้จัดระเบียบ (disciplinary mechanism) เพราะมันคัดเลือก ควบคุม และทำให้บางรูปแบบไสยศาสตร์ถูกเผยแพร่มากกว่าแบบอื่น Foucault ชี้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนแค่ความเชื่อแต่สะท้อน การทำงานของอำนาจ ที่ซ้อนอยู่ในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและวัฒนธรรมร่วมสมัยด้วย
ตัวอย่างร่วมสมัยที่เห็นได้ชัด อาทิ การตลาดสายมู (mystical marketing) เช่น การขายแหวนหิน, เครื่องรางเสริมดวง, น้ำมนต์ขวดเล็ก ที่ผูกเข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ หรือ พระเครื่อง NFT หรือการใช้บล็อกเชนทำให้เครื่องรางกลายเป็นของสะสมดิจิทัล ที่เชื่อมศรัทธาเข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัลโดยตรง รวมทั้งการจัดคอร์สเรียนพลังจิต/ดวงดาวออนไลน์ ที่ผสมธุรกิจ ความเชื่อ และอำนาจในการกำหนดว่าใครคือผู้มีญาณพิเศษ
สรุป สำหรับ Beck เครื่องรางออนไลน์และไสยศาสตร์เชิงพาณิชย์เป็นกลยุทธ์จัดการความเสี่ยงของมนุษย์ในสังคมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอ แต่สำหรับ Foucault สิ่งเหล่านี้คือสนามอำนาจที่แสดงให้เห็นว่า ความรู้ (ว่าอะไรคือศักดิ์สิทธิ์หรืองมงาย) ถูกผลิตและควบคุมอย่างไรผ่านรัฐ ศาสนา และแม้แต่แพลตฟอร์มโซเชียล
ดังนั้น ไสยศาสตร์ในยุคดิจิทัลจึงไม่ใช่เพียง ความเชื่อโบราณที่สืบทอดมา แต่เป็น รูปแบบใหม่ของอำนาจเศรษฐกิจ และการจัดการความเสี่ยง ที่ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น