งานเขียนนี้ตั้งใจสำรวจความหมายของ เจดีย์และลัทธิเจ้าวัดในโลกจินตนาการของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งสะท้อนจักรวาลวิทยา ความหวังต่อพระศรีอริยะเมตไตรย์ และความเชื่อเรื่อง mìn laùng หรือผู้มีบุญผู้ปลดปล่อย
เจดีย์ถูกสร้างจากวัสดุท้องถิ่น เช่น ไม้ ดิน ทราย ไผ่ และตั้งอยู่บนพื้นที่สูงหรือศูนย์กลางหมู่บ้าน ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ แหล่งรวมกิจกรรมศาสนา วัฒนธรรม และงานหัตถกรรม เจดีย์จึงเปรียบเหมือน “พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน” ที่หล่อเลี้ยงความฝัน ความหวัง และคุณค่าทางศีลธรรม
การสร้างเจดีย์เชื่อมโยงกับความเชื่อจักรวาลวิทยาในหลายวัฒนธรรม ตั้งแต่คติพุทธ–ฮินดูที่มองภูเขาเป็นศูนย์กลางจักรวาล ไปจนถึงประเพณีล้านนาอย่างเจดีย์ทรายและตุงในเทศกาลสงกรานต์ ขณะเดียวกัน เจดีย์ของกะเหรี่ยงยังสัมพันธ์กับการเมือง การต่อสู้ และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ เช่น กรณีในพม่าและไทย ที่ศาสนา–การเมือง–เศรษฐกิจผสานกัน
แม้โลกาภิวัตน์และนโยบายรัฐทำให้บางหมู่บ้านสูญเสียพื้นที่ ความเชื่อ และเจดีย์ แต่ก็มีการฟื้นฟูพิธีกรรม เช่น ลู้บ่อง ในอุทัยธานีและกาญจนบุรี แสดงถึงความทรงจำทางสังคมและความพยายามรักษาอัตลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยง ท่ามกลางแรงกดดันสมัยใหม่
เจดีย์จึงไม่ใช่เพียงศาสนสถาน แต่เป็น พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการต่อรองระหว่างโลกจิตวิญญาณกับโลกภายนอก เป็นทั้งสัญลักษณ์ทางศาสนา การเมือง และวัฒนธรรม ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและตัวตนของชาวกะเหรี่ยงได้ลึกซึ้งขึ้น
ผมจะลองวิเคราะห์ประเด็นสำคัญ ที่น่าสนใจในกาาไหว้เจดีย์ และการสร้างเจดีย์ ดังนี้
1. โลกทัศน์และความเชื่อของกะเหรี่ยง โดยชาวกะเหรี่ยงเชื่อในการกลับมาของ พระศรีอริยะเมตไตรย์ หรือ mìn laùng (ผู้มีบุญ/ผู้ปลดปล่อย) ที่จะมาสร้างระเบียบโลกใหม่ การมีความเชื่อเรื่อง Chai/ไค/ไช (จากภาษามอญ หมายถึง “สิ่งศักดิ์สิทธิ์/พระพุทธเจ้า”) เป็นแกนสำคัญในการอธิบายจักรวาลวิทยา กระบวนการที่สะท้อนความหวังนี้ปรากฏในพิธีกรรม ความฝัน และสัญลักษณ์ที่จับต้องได้คือ เจดีย์เจ้าวัด
2. เจดีย์: สัญลักษณ์และหน้าที่ สิ่งที่น่าสนใจคือเจดีย์สร้างจากวัสดุท้องถิ่น (ไม้ ไผ่ ดิน ทราย ปูน) และตั้งบนพื้นที่สูงหรือมุมสงบของหมู่บ้าน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือน สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโลกมนุษย์–โลกเหนือธรรมชาติ การเป็นศูนย์รวมกิจกรรมชุมชน ทั้งการประกอบพิธีกรรมศาสนา สะท้อนงานหัตถกรรม รวมถึง การละเล่นพื้นบ้าน รวมถึงการเป็นเสมือนโรงเรียนดั้งเดิม ถ่ายทอดความรู้และคุณธรรมแก่เยาวชหรือมีสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน ที่สะท้อนทั้งความเชื่อพุทธ ผี และสิ่งเหนือธรรมชาติ
3.มิติทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับทางล้านนา (เชียงใหม่) ที่มีการก่อเจดีย์ทรายในเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงการมีการประดับธงตุง เป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดและปรับเข้ากับสมัยใหม่ หรือชุมชนกะเหรี่ยงในพม่า (หรือจังหวัดติดชายแดน เช่น ตาก ฯลฯ) มีการทำเจดีย์ดินและไม้ที่สร้างบนภูเขา เชื่อมโยงกับคติภูเขาศักดิ์สิทธิ์ (เขาไกรลาศ–คติฮินดู/พุทธ) หรือในเขมรมีการสร้างปราสาทบนภูเขา หรือมีฐานสูงเป็นศูนย์กลางจักรวาล และเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า–เทพ สูงสุด
4. มิติการเมืองและการต่อสู้ เช่นตัวอย่างการสร้างเจดีย์จำนวนมากในพม่า เชื่อมโยงกับการต่อสู้ทางการเมืองและการเคลื่อนไหวแบบ Millenarian (Stern, Adas) เจดีย์และพิธีกรรมสะท้อนการ ต่อรองระหว่างโลกอุดมคติ–โลกภายนอก ในบริบทที่กลุ่มชาติพันธุ์ถูกกดทับ ดังเช่นกรณีชาวกะเหรี่ยง ศาสนาไม่ถูกแยกออกจากการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ผสานกันในการสร้างอัตลักษณ์และการเคลื่อนไหว
5. การเปลี่ยนแปลงและแรงกดดัน เนื่องจากผลกระทบของโลกาภิวัตน์ การพัฒนา และนโยบายรัฐ เช่น การสร้างเขื่อนและประกาศเขตอนุรักษ์ ทำให้หมู่บ้านต้องย้าย/สูญเสียพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยการบังคับให้ออกจากป่าและทำลายเจดีย์ หรือกรณีความเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ ที่ตั้งคำถามและปฏิเสธความเชื่อเดิมล้าสมัย ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา (พุทธ–คริสต์) ในชุมชนกะเหรี่ยง ส่งผลต่ออัตลักษณ์และการเมืองในการเคลื่อนไหว
6.การฟื้นฟูและความทรงจำทางสังคม ตัวอย่างเช่น พิธี ลู้บ่อง (Lu Baung) ในอุทัยธานีและกาญจนบุรี ช่วงทศวรรษ 2000 กลายเป็นเวทีรวมชุมชน ฟื้นพิธีกรรมเก่า และสร้างความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนแนวคิดของ Comaroff (1997): การใช้ความทรงจำและพิธีกรรมในการ ต่อต้าน–ชะลอ–ต่อรอง กับโลกสมัยใหม่ ดังนั้นการคงอยู่ของเจดีย์และเจ้าวัด ก็สะท้อน ความพยามในการปกป้องอัตลักษณ์และโลกจิตวิญญาณ
7.มิติทางสัญลักษณ์และจักรวาลวิทยา โดยพื้นที่เจดีย์แบ่งโลกออกเป็น ภายใน–ภายนอก ซึ่งภายในคือศีลธรรม บุญ ความสงบ (มีเจดีย์เป็นศูนย์กลาง ) ส่วน ภายนอก คือ ความรุนแรง ความขัดแย้งและความทันสมัย สัญลักษณ์ในพื้นที่เจดีย์: เช่น นกบนเสา (การะเวก, หงส์ ทู้กะเด่วไป่ ฯลฯ) สื่อถึงการเชื่อมระหว่างโลกกับสวรรค์
ดังนั้น เจดีย์ไม่ใช่เพียงศาสนสถาน แต่เป็น พื้นที่ต่อรองทางวัฒนธรรม การเมือง และศาสนา แต่เป็นฐานที่มั่นในการรักษา อัตลักษณ์ ความเชื่อ และความทรงจำร่วมรวมทั้งเป็นเครื่องมือของการ ฟื้นฟูชุมชน และเป็นสะพานเชื่อมโลกจิตวิญญาณกับโลกสมัยใหม่ในปัจจุบัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น