ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทำไมมานุษยวิทยาต้องเข้าสู่ยุค Post Human: ความท้าทายและการเชื่อมโยงความรู้กับนโยบาย โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

เพราะโลกเปลี่ยนไป และขนาดของปัญหาก็เปลี่ยนไปด้วย ทั้งความใหญ่และความซับซ้อนของปัญหามากขึ้น เพราะแนวคิดเก่าๆ ยังกระจายศูนย์อยู่ที่มนุษย์เป็นหลัก ทำให้เราไม่เข้าใจอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะวิธีคิดแบบ แยกมนุษย์-ธรรมชาติ มนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ มนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ กำลังล้มเหลวในทางปฏิบัติ สุดท้าย เพราะการอยู่ร่วมกับสิ่งอื่น ในสิ่งแวดล้อมต้องการสิ่งที่เรียกว่า จริยธรรมใหม่ ดังเช่นเรื่องนิเวศสิ่งแวดล้อม เราต้องเปลี่ยนวิธีรู้ วิธีอยู่ และวิธีดูแลโลก รวมทั้งจริยธรรมแบบเก่าที่มักมองว่า ใครเป็นเจ้าของ/ใครควรได้ใช้ ต้องถูกแทนที่ด้วยคำถามแบบใหม่ เช่น เราจะอยู่ร่วมกับสิ่งที่ไม่พูดภาษาเราได้อย่างไร? และเราจะฟังเสียงของแม่น้ำ ป่า หรือหินอย่างไร? ดังนั้น การอยู่ร่วมกันอย่างถ่อมตน (humility) และร่วมสร้างกัน (symbiosis) คือจุดเปลี่ยนทางจริยธรรมที่แนวคิดใหม่เสนอ คำถามสำคัญคือ โลกไม่ได้อยู่เพื่อเราอีกต่อไป แต่มนุษย์อาจอยู่ได้ต่อไปหรือไม่ ขึ้นกับว่าเราเข้าใจ โลกใหม่ได้แค่ไหน ดังนั้นเราจึงต้องหาวิธีใหม่ในการเข้าใจ ‘สิ่งแวดล้อม’ ที่ไม่ใช่แค่บริบท แต่เป็นผู้มีชีวิตร่วมที่มี agency Jane Bennett หรือ Karen Barad จะชี้ให้เห็นว่า ความรู้ไม่ใช่เพียงเรื่องการอธิบาย แต่คือการเปิดช่องให้โลกเผยตัวผ่านวิธีอื่นที่ไม่ใช่การเล่าเรื่องแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง โดยวิพากษ์การที่ข้อเขียนยังยึดกับความรู้แบบ representational epistemology จึงอาจยังไม่เปิดรับความรู้แบบ embodied, affective หรือ material ที่ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบในความหมายแบบเดิมอีกต่อไป ดังนั้นแม้คาร์ล มาร์กซ์จะพูดเรื่องวัตถุและแรงงาน (labor–commodity–capital) ในขณะที่ลาตูร์สร้างแนวคิด ANT (Actor-Network Theory) ขึ้นมา ก็ไม่ได้สนใจวัตถุในฐานะผลผลิตของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนมุมมองจากวัตถุเป็น “passive object” สู่การเป็น “actor” ที่สามารถสร้างพลวัต สร้างความเปลี่ยนแปลงร่วมกับมนุษย์ในเครือข่าย หรือในโลกของ เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI, algorithm, แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ฯลฯ สิ่งของเหล่านี้มีบทบาทในการจัดการความรู้ อารมณ์ และความสัมพันธ์ ไม่ต่างจากมนุษย์เลย งานของนักมานุษยวิทยาแนววิวัฒนาการหลายสาย มานุษยวิทยาเชิงนิเวศวิทยา มานุษยวิทยาแนวสัญลักษณ์นิยมหรือโครงสร้างนิยม อย่าง เลสลี่ไวท์ มาร์วิน แฮร์ริส, แมรี่ ดักลาส หรือเลวี-สโตรทส์ มักจะใช้สัตว์เพื่ออธิบาย “ความหมาย” ในระบบสัญลักษณ์หรือประเพณีพิธีกรรมของมนุษย์ แต่ในวิธีคิดแบบ multispecies ethnography, posthuman anthropology, หรือ critical biosemiotics สนใจ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์-ไม่ใช่มนุษย์ในฐานะ “life-worlds” ที่พัวพันกันจริงๆ ไม่ใช่แค่ในความคิด อาทิเช่น ไวรัส, เชื้อโรค, แบคทีเรีย, ยีสต์ ฯลฯ ปัจจุบันเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่ประเด็นทางชีววิทยา แต่เป็นประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ เช่น โควิด-19, วัคซีน, การควบคุมชีวิตชีวะ เป็นต้น นักมานุษยวิทยายุคใหม่ไม่เพียงแต่สนใจสัตว์ในฐานะสิ่งแทนแต่พยายามเข้าใจ สัตว์ในฐานะผู้กระทำและผู้ร่วมสร้างโลก ดังเช่น แนวคิด agency แบบบูร์ดิเยออาจไม่เพียงพอต่อความเข้าใจที่ซับซ้อน ทำไมต้องมีแนวคิดแบบ nonhuman agency เข้ามาเสริมการอธิบาย เพราะบูร์ดิเยอเน้น agency ของมนุษย์ในโครงสร้างที่จำกัด แต่แนวคิด nonhuman agency ขยายแนวคิดนี้ไปยังสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น แบคทีเรีย, เทคโนโลยี, วัตถุ, ภูมิอากาศ โลกปัจจุบันมี “ผู้กระทำการ” ที่ไม่สามารถจำกัดอยู่ในหมวดมนุษย์เท่านั้น การก้าวข้ามจาก agency ของมนุษย์ สู่ระบบของแรงกระทำข้ามสปีชีส์/สภาพแวดล้อม ดังนั้น การมอง agency แบบ nonhuman จึงช่วยให้เราวิเคราะห์โลกที่ซับซ้อนแบบหลายองค์ประกอบได้แม่นยำขึ้น ภายใต้แนวคิดแบบ epistemic pluralism จะมองว่า ความรู้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันเพื่อชนะกัน แต่ควรมีพื้นที่ให้แนวคิดหลากหลายอยู่ร่วมกัน ดังนั้น การถามว่า ทำไมเราต้องให้ความสนใจกับแนวคิดแบบ nonhuman อาจเป็นการเอามาตรวัดแบบ “human-centric” หรือ “วิธีคิดแบบเดิม” ไปตัดสินความรู้แบบใหม่ ทำไมต้องสนใจสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ลม ป่า ฯลฯ อีก ในเมื่อแนวคิดของพวกมานุษยวิทยาวัฒนธรรมเชิงนิเวศพูดไปแล้ว? ซึ่งแนวคิดวัฒนธรรมนิเวศหรือนิเวศวิทยาการเมือง (political ecology) มักยังวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมในฐานะบริบทของมนุษย์ เช่น ใครใช้ป่า ใครเสียที่ดิน ใครโดนไล่ที่ แต่ Posthuman และ Earth-Oriented Thinking เช่นในงานของ Timothy Morton (Hyperobject), Eduardo Kohn, หรือ Anna Tsing ที่พยายาม “De-Center” ความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ โลกไม่ได้เป็นฉากหลังของมนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งมีชีวิตและพลังเหนือธรรมชาติที่ “อยู่ร่วม” และอาจ “อยู่เหนือ” มนุษย์ได้ โดยแนวคิดเหล่านี้จึงให้จริยธรรมใหม่ เช่น “ethics of cohabitation” หรือการอยู่ร่วมโดยไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง นี่เป็นเพราะโลกเปลี่ยนไปอย่างลึกซึ้ง เราจึงต้องมีภาษาแบบใหม่ วิธีคิดแบบใหม่ วิธีเข้าใจแบบใหม่ และกรอบจริยธรรมใหม่ แม้คำถามยังคล้ายเดิม (มนุษย์อยู่ในความสัมพันธ์กับวัตถุ สัตว์ สิ่งแวดล้อม) แต่คำตอบเดิมอาจไม่พอต่อความเข้าใจอีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้หันหลังให้กับแนวคิดคลาสสิคของนักทฤษฎีสังคมวิทยามานุษยวิทยาในยุคคลาสสิค แต่เรากำลังทำให้ คำถามคลาสสิก ได้มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ในยุคที่ระบบนิเวศ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี แทรกซึมลึกเข้ามาในชีวิตของพวกเราเกินกว่าจะมองข้ามได้…. คำถามที่ท้าทายสำหรับผมคือ ในเชิงนโยบาย วิธีคิดแบบ Post-Human รัฐจะยอมรับได้หรือไม่ รับได้มากน้อยแค่ไหน? เพราะรัฐส่วนใหญ่มักจะต่อต้านสิ่งที่เป็นหัวใจของ posthuman ที่พยายามล้มโครงสร้างมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพราะมันกระทบอำนาจของรัฐเอง เนื่องรัฐ สัมพันธ์กับระบบจัดการมนุษย์ (citizens, labor, health, education, crime, security ฯลฯ) ในทางตรงกันข้าม Posthumanism บอกว่าเราควรจัดการโลก โดยไม่ตั้งมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง และอาจต้องฟังเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่น สภาพแวดล้อม หรือแม้แต่ “ระบบ” ที่มนุษย์ไม่เข้าใจ เช่น algorithm หรือไวรัส …แต่รัฐก็อาจจะไม่พร้อมรับกับการมีตัวตนแบบไม่มีตัวแทน (non-representational) และสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสิทธิ์พลเมืองแต่มีบทบาท เช่น เชื้อรา, แบคทีเรีย, หิน, แม่น้ำ เป็นต้น ผมคิดว่า บางครั้งรัฐก็อาจรับบางอย่างจากแนวคิดแบบ posthuman ได้ ถ้ามันถูกแปลเป็นนโยบายที่สามารถจัดการได้ เช่น แนวคิด multispecies ethnography ถูกแปลงเป็นนโยบายอนุรักษ์สัตว์, biodiversity, หรือสัตว์เป็นทรัพยากรท่องเที่ยว หรือ แนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อม-แร่ธาตุ-แม่น้ำ ถูกแปลงเป็นนโยบาย climate change, การจัดการทรัพยากร รวมถึงแนวคิดเรื่องเทคโนโลยี nonhuman agency ถูกเอาไปใช้ในนโยบาย AI, ระบบข้อมูล, Smart city แต่ทั้งหมดนี้ยังเป็นการแปลง posthuman ให้เป็นมนุษย์นิยมแบบอ่อน ๆ คือยังวางมนุษย์ โดยเฉพาะรัฐ เป็นผู้บริหาร ออกแบบ และควบคุม ดังเช่น จดทะเบียนแม่น้ำเป็นนิติบุคคล (เช่นที่นิวซีแลนด์ทำ) การสร้างกฎควบคุม AI การมีนโยบายสวัสดิภาพสัตว์ สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกกำหนดโดยมนุษย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงความเป็นศูนย์กลางของมนุษย์ ดังนั้น หากต้องการให้แนวคิด posthuman มีอิทธิพลต่อรัฐอย่างแท้จริง ต้องไม่เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อหา แต่ต้องเปลี่ยน วิธีคิดเรื่องอำนาจ-สิทธิ-การอยู่ร่วม ทั้งระบบด้วยเช่นกัน… ปล. ขอบคุณภาพพิธีกรรมของชาวกะเหรี่ยงด้ายเหลือง จากคุณรัตนา ภูเหม็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...