ระบบรัฐชาติสมัยใหม่ที่ยึดติดกับเส้นเขตแดนแบบแข็งทื่อเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา รวมทั้งการใช้ประวัติศาสตร์ในแบบคัดเลือก (selective memory) เพื่อสร้างศัตรูร่วม การเน้นเรื่องอธิปไตยของชาติทำให้ประชาชนรู้สึกว่าหากยอมถอยเท่ากับขายชาติ ไม่รักชาติ
ชาตินิยมแบบอารมณ์ ทำให้การถอยเพื่อสันติภาพถูกตีความว่าแพ้และยอมไม่ได้ ทั้งที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ ที่สำคัญรัฐในหลายประเทศ มักใช้กรณีพิพาทนี้เป็นเครื่องเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาในประเทศ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่คือ มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนสูญเสียบ้าน ทรัพย์สิน รวมถึงความไม่ไว้วางใจฝังรากลึกในระดับประชาชน
การปกป้องประชาชนและการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม อาจจำเป็นต้องมีพลัง และการตอบโต้อย่างชาญฉลาด
ความกล้าหาญที่จะไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงและยืนหยัดในหลักการ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องยอมแพ้และไม่ใช่ทุกกรณีที่เราควรต้องยอมเจ็บเพื่อสันติภาพด้วยเช่นกัน
สันติภาพที่แท้จริงไม่ใช่แค่การหยุดยิง แต่คือการ เยียวยาความร้าวลึก, ฟื้นฟูความไว้วางใจ และเปลี่ยนโครงสร้างที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งมักใช้เวลานาน เจ็บปวด และไม่สวยงามอย่างที่คิดฝันไว้แน่นอน
สุดท้าย สงครามข่าวลือเพื่อสร้างความชอบธรรมและความเกลียดชังทางเชื้อชาติ คือความรุนแรงในรูปแบบใหม่ที่่ทำให้ความเกลียดชังแพร่กระจายและฝังลึกมากขึ้น
สันติภาพจึงไม่ใช่การไม่มีสงคราม แต่คือภาวะที่คนไม่ต้องกลัวว่าจะถูกรังแกแม้อยู่ในความเงียบ….คุณค่าของสันติภาพอยู่ที่การตัดสินใจอย่างมีวิสัยทัศน์ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด และยอมรับว่าบางครั้งความจริงอาจโหดร้ายกว่าความฝันที่ดีภาพ ที่สวยหรูในอุดมคติ และก็ไม่ควรปล่อยให้ความโหดร้ายนั้นปิดประตูสันติภาพตลอดไปด้วยเช่นกัน
ท้ายสุดสันติภาพไม่ใช่ของฟรีและไม่ใช่ของแท้เสมอ ดังนั้นการได้สันติภาพมาโดยต้องแลกกับการสูญเสีย คือสิ่งที่เกิดขึ้นแทบทุกครั้งในประวัติศาสตร์ของความขัดแย้งบนโลก …ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิต ทรัพยากร หรือแม้แต่ศักดิ์ศรี และความยุติธรรม
กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็น การแสวงหาสันติภาพหรือไม่ต้องการสันติภาพ ท่ามกลางการสูญเสีย ความไม่ไว้วางใจ และการใช้ทั้งอาวุธจริงและสงครามข่าวสารในบริบทภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สิ่งที่เป็นประเด็นน่าสนใจคือ เราเสพข่าวนี้ และเรื่องราวของสงครามไม่ใช่แค่จากผู้สื่อข่าว แต่จากผู้ทำสงครามเองด้วย กรณีทหารเขมรโพสต์โซเชียล สะท้อนสงครามที่เปลี่ยนรูปแบบ จากสงครามสนามรบ สงครามการสื่อสาร และสงครามที่สร้างรายได้ให้กับทหารธรรมดาที่ไม่มีต้นทุน และไม่มีรัฐสวัสดิการใดๆ ที่หวังจะได้จากยอดวิวผู้เข้าชม ในอีกด้าน การที่ทหารโพสต์ภาพ คลิป หรือข้อความบนโซเชียล เช่น Facebook, TikTok หรือ YouTube ในขณะประจำการที่แนวหน้าก็เป็นส่วนหนึ่งของสงครามข้อมูลข่าวสาร”(Information Warfare) เป้าหมายของการโพต์จึง ไม่ใช่แค่ข้าศึกหรือฝ่ายตรงกันข้าม แต่คือผู้ชทั้งในและต่างประเทศ เช่น ประชาชนในประเทศตัวเอง หรือประเทศคู่ขัดแย้ง กล้องมือถือกลายเป็นอาวุธใหม่ในการสร้างอำนาจความชอบธรรม
ในอดีต การเล่าเรื่องสงครามเป็นหน้าที่ของ รัฐบาล–สื่อ–กระทรวงกลาโหม แต่ตอนนี้ ทหารแนวหน้ากลายเป็น influencer สื่อเล่าเรื่องสงครามด้วยตนเอง ผลที่เกิดตามมาคือ รัฐอาจได้ประโยชน์ (propaganda แบบ grassroots) หรือรัฐอาจเสียประโยชน์ หากข้อมูลหลุด หรือสวนทางกับภาพลักษณ์ที่รัฐต้องการ รวมถึงการทำสงครามแฮกเกอร์กันระหว่างประเทศ รวมทั้งสงครามไสยศาสตร์
ดังเช่น Michel Foucault เสนอว่าความจริงไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริง แต่คือสิ่งที่ถูกสร้างผ่าน “วาทกรรม” ดังนั้น การโพสต์ภาพ/คำพูดของทหาร แม้จะดูจริง แต่เป็น ความจริงที่ถูกจัดวางผ่านเลนส์กล้องและภาษา ผู้สร้างมีการเลือกสิ่งที่จะโพสต์, framing, และจัดฉากบางส่วนเพื่อกระตุ้นอารมณ์ผู้ชม ผ่านความเป็นฮีโร่ ความรักชาติ การสร้างความเกลียดชัง
บางคลิปโพสต์ความกลัว เสียงร้อง ความคิดถึงบ้าน, ความเบื่อหน่ายและการสูญเสียเพื่อน สิ่งนี้เปิดช่องให้เห็นว่าทหารก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรสังหาร
นี่เป็น การตอกย้ำความไร้สาระของสงครามในเชิงมนุษยนิยม (Humanist critique)
นักวิชาการอย่าง Butler เสนอไว้ในหนังสือสำคัญ เช่น Precarious Life (2004) Frames of War: When Is Life Grievable? (2009) ที่เสนอว่า ไม่ใช่ทุกชีวิตจะมีคุณค่าหรือความเศร้าเท่ากันในสายตาของสังคม สื่อ หรือรัฐ
โดยชีวิตที่นับได้ (Grievable Lives) คือชีวิตที่ เมื่อสูญเสียแล้ว ผู้คนรู้สึกว่าควรเศร้า, เสียดายและไวัอาลัย รวมถึงการมีคุณค่าทางสังคม–ศีลธรรม ถูกนำเสนออย่างเป็นมนุษย์ โดยสื่อและวาทกรรมของรัฐ ในขณะที่ชีวิตที่นับไม่ได้ (Ungrievable Lives) คือชีวิตที่ เมื่อสูญเสียแล้ว ไม่ได้รับความสนใจ, ถูกมองว่า “ไม่สำคัญ” หรือเป็นเพียงตัวเลข อาจถูกทำให้เป็นเพียง “ศัตรู” หรือ “คนอื่นที่ห่างไกล” (othering) ดังนั้นชีวิตมีคุณค่าทางอารมณ์ไม่เท่ากันเพราะกรอบชาติและวาทกรรมที่กำหนด
การทำให้ชีวิตหนึ่งนับไม่ได้เป็น กลยุทธ์ของอำนาจเพื่อทำให้ความรุนแรงดูเป็นเรื่อง “พอรับได้” หรือ “จำเป็น” มันคือการทำให้ความตายของบางคนดูเหมือนไม่ใช่ความตายจริง ไม่ต้องไว้อาลัย ไม่ต้องรู้สึกผิด….
ฟูโกเสนอการวิเคราะห์วาทกรรมในหนังสือ Arhaeology of knowledge ว่า who is speaking และ ปฎิบัติการของวรรมที่กระทำผ่านสถาบันทางสังคม วาทกรรมมีที่มา แม้ปัจจุบันมันจะไหลเวียนอยู่ในสังคม เราก็รู้กันว่าใครเป็นต้นเหตุสำคัญ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง…
…นักมานุษยวิทยาโลกสวย ภายใต้โลกที่บิดเบี้ยว และจิตใจมนุษย์ที่ซับซ้อน มีเล่ห์เหลี่ยม เกินกว่าและยากเข้าใจได้…
ในขณะที่ภรรยาดูข่าวและร้องไห้เสียใจส่งสารผู้สูญเสียชีวิตพลเรือนและมหผทหารที่ปกป้องประเทศ ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ เปิดข่าวดูและส่งเสียงสะใจที่เห็นจำนวนของฝ่ายตรงกันข้ามเสียชีวิตมากมาย..
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น