ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สงครามและความรุนแรง สันติภาพที่ต้องแลกด้วยชีวิตและความรุนแรงแบบใหม่ โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

ระบบรัฐชาติสมัยใหม่ที่ยึดติดกับเส้นเขตแดนแบบแข็งทื่อเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา รวมทั้งการใช้ประวัติศาสตร์ในแบบคัดเลือก (selective memory) เพื่อสร้างศัตรูร่วม การเน้นเรื่องอธิปไตยของชาติทำให้ประชาชนรู้สึกว่าหากยอมถอยเท่ากับขายชาติ ไม่รักชาติ ชาตินิยมแบบอารมณ์ ทำให้การถอยเพื่อสันติภาพถูกตีความว่าแพ้และยอมไม่ได้ ทั้งที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์ ที่สำคัญรัฐในหลายประเทศ มักใช้กรณีพิพาทนี้เป็นเครื่องเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาในประเทศ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่คือ มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนสูญเสียบ้าน ทรัพย์สิน รวมถึงความไม่ไว้วางใจฝังรากลึกในระดับประชาชน การปกป้องประชาชนและการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม อาจจำเป็นต้องมีพลัง และการตอบโต้อย่างชาญฉลาด ความกล้าหาญที่จะไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงและยืนหยัดในหลักการ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องยอมแพ้และไม่ใช่ทุกกรณีที่เราควรต้องยอมเจ็บเพื่อสันติภาพด้วยเช่นกัน สันติภาพที่แท้จริงไม่ใช่แค่การหยุดยิง แต่คือการ เยียวยาความร้าวลึก, ฟื้นฟูความไว้วางใจ และเปลี่ยนโครงสร้างที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งมักใช้เวลานาน เจ็บปวด และไม่สวยงามอย่างที่คิดฝันไว้แน่นอน สุดท้าย สงครามข่าวลือเพื่อสร้างความชอบธรรมและความเกลียดชังทางเชื้อชาติ คือความรุนแรงในรูปแบบใหม่ที่่ทำให้ความเกลียดชังแพร่กระจายและฝังลึกมากขึ้น สันติภาพจึงไม่ใช่การไม่มีสงคราม แต่คือภาวะที่คนไม่ต้องกลัวว่าจะถูกรังแกแม้อยู่ในความเงียบ….คุณค่าของสันติภาพอยู่ที่การตัดสินใจอย่างมีวิสัยทัศน์ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด และยอมรับว่าบางครั้งความจริงอาจโหดร้ายกว่าความฝันที่ดีภาพ ที่สวยหรูในอุดมคติ และก็ไม่ควรปล่อยให้ความโหดร้ายนั้นปิดประตูสันติภาพตลอดไปด้วยเช่นกัน ท้ายสุดสันติภาพไม่ใช่ของฟรีและไม่ใช่ของแท้เสมอ ดังนั้นการได้สันติภาพมาโดยต้องแลกกับการสูญเสีย คือสิ่งที่เกิดขึ้นแทบทุกครั้งในประวัติศาสตร์ของความขัดแย้งบนโลก …ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิต ทรัพยากร หรือแม้แต่ศักดิ์ศรี และความยุติธรรม กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็น การแสวงหาสันติภาพหรือไม่ต้องการสันติภาพ ท่ามกลางการสูญเสีย ความไม่ไว้วางใจ และการใช้ทั้งอาวุธจริงและสงครามข่าวสารในบริบทภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่เป็นประเด็นน่าสนใจคือ เราเสพข่าวนี้ และเรื่องราวของสงครามไม่ใช่แค่จากผู้สื่อข่าว แต่จากผู้ทำสงครามเองด้วย กรณีทหารเขมรโพสต์โซเชียล สะท้อนสงครามที่เปลี่ยนรูปแบบ จากสงครามสนามรบ สงครามการสื่อสาร และสงครามที่สร้างรายได้ให้กับทหารธรรมดาที่ไม่มีต้นทุน และไม่มีรัฐสวัสดิการใดๆ ที่หวังจะได้จากยอดวิวผู้เข้าชม ในอีกด้าน การที่ทหารโพสต์ภาพ คลิป หรือข้อความบนโซเชียล เช่น Facebook, TikTok หรือ YouTube ในขณะประจำการที่แนวหน้าก็เป็นส่วนหนึ่งของสงครามข้อมูลข่าวสาร”(Information Warfare) เป้าหมายของการโพต์จึง ไม่ใช่แค่ข้าศึกหรือฝ่ายตรงกันข้าม แต่คือผู้ชทั้งในและต่างประเทศ เช่น ประชาชนในประเทศตัวเอง หรือประเทศคู่ขัดแย้ง กล้องมือถือกลายเป็นอาวุธใหม่ในการสร้างอำนาจความชอบธรรม ในอดีต การเล่าเรื่องสงครามเป็นหน้าที่ของ รัฐบาล–สื่อ–กระทรวงกลาโหม แต่ตอนนี้ ทหารแนวหน้ากลายเป็น influencer สื่อเล่าเรื่องสงครามด้วยตนเอง ผลที่เกิดตามมาคือ รัฐอาจได้ประโยชน์ (propaganda แบบ grassroots) หรือรัฐอาจเสียประโยชน์ หากข้อมูลหลุด หรือสวนทางกับภาพลักษณ์ที่รัฐต้องการ รวมถึงการทำสงครามแฮกเกอร์กันระหว่างประเทศ รวมทั้งสงครามไสยศาสตร์ ดังเช่น Michel Foucault เสนอว่าความจริงไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริง แต่คือสิ่งที่ถูกสร้างผ่าน “วาทกรรม” ดังนั้น การโพสต์ภาพ/คำพูดของทหาร แม้จะดูจริง แต่เป็น ความจริงที่ถูกจัดวางผ่านเลนส์กล้องและภาษา ผู้สร้างมีการเลือกสิ่งที่จะโพสต์, framing, และจัดฉากบางส่วนเพื่อกระตุ้นอารมณ์ผู้ชม ผ่านความเป็นฮีโร่ ความรักชาติ การสร้างความเกลียดชัง บางคลิปโพสต์ความกลัว เสียงร้อง ความคิดถึงบ้าน, ความเบื่อหน่ายและการสูญเสียเพื่อน สิ่งนี้เปิดช่องให้เห็นว่าทหารก็เป็นมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรสังหาร นี่เป็น การตอกย้ำความไร้สาระของสงครามในเชิงมนุษยนิยม (Humanist critique) นักวิชาการอย่าง Butler เสนอไว้ในหนังสือสำคัญ เช่น Precarious Life (2004) Frames of War: When Is Life Grievable? (2009) ที่เสนอว่า ไม่ใช่ทุกชีวิตจะมีคุณค่าหรือความเศร้าเท่ากันในสายตาของสังคม สื่อ หรือรัฐ โดยชีวิตที่นับได้ (Grievable Lives) คือชีวิตที่ เมื่อสูญเสียแล้ว ผู้คนรู้สึกว่าควรเศร้า, เสียดายและไวัอาลัย รวมถึงการมีคุณค่าทางสังคม–ศีลธรรม ถูกนำเสนออย่างเป็นมนุษย์ โดยสื่อและวาทกรรมของรัฐ ในขณะที่ชีวิตที่นับไม่ได้ (Ungrievable Lives) คือชีวิตที่ เมื่อสูญเสียแล้ว ไม่ได้รับความสนใจ, ถูกมองว่า “ไม่สำคัญ” หรือเป็นเพียงตัวเลข อาจถูกทำให้เป็นเพียง “ศัตรู” หรือ “คนอื่นที่ห่างไกล” (othering) ดังนั้นชีวิตมีคุณค่าทางอารมณ์ไม่เท่ากันเพราะกรอบชาติและวาทกรรมที่กำหนด การทำให้ชีวิตหนึ่งนับไม่ได้เป็น กลยุทธ์ของอำนาจเพื่อทำให้ความรุนแรงดูเป็นเรื่อง “พอรับได้” หรือ “จำเป็น” มันคือการทำให้ความตายของบางคนดูเหมือนไม่ใช่ความตายจริง ไม่ต้องไว้อาลัย ไม่ต้องรู้สึกผิด…. ฟูโกเสนอการวิเคราะห์วาทกรรมในหนังสือ Arhaeology of knowledge ว่า who is speaking และ ปฎิบัติการของวรรมที่กระทำผ่านสถาบันทางสังคม วาทกรรมมีที่มา แม้ปัจจุบันมันจะไหลเวียนอยู่ในสังคม เราก็รู้กันว่าใครเป็นต้นเหตุสำคัญ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้าง… …นักมานุษยวิทยาโลกสวย ภายใต้โลกที่บิดเบี้ยว และจิตใจมนุษย์ที่ซับซ้อน มีเล่ห์เหลี่ยม เกินกว่าและยากเข้าใจได้… ในขณะที่ภรรยาดูข่าวและร้องไห้เสียใจส่งสารผู้สูญเสียชีวิตพลเรือนและมหผทหารที่ปกป้องประเทศ ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ เปิดข่าวดูและส่งเสียงสะใจที่เห็นจำนวนของฝ่ายตรงกันข้ามเสียชีวิตมากมาย..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...