การอยู่ร่วมกับความย้อนแย้ง มนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ภายใต้จริยธรรมของการอยู่ร่วม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
Donna Haraway เคยพูดว่า เราต้องอยู่กับความย้อนแย้งนั้นอย่างมีจริยธรรม (staying with the trouble) นั่นคือการไม่หลีกเลี่ยงหรือพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างให้เรียบร้อยแบบทฤษฎีที่สวยหรู แต่คือการเลือกอยู่ร่วมกับความซับซ้อน ความย้อนแย้ง ความไม่สมบูรณ์แบบของโลก อย่างรับผิดชอบ มีจริยธรรม และจินตนาการร่วมกัน
โดยความย้อนแย้งที่ Haraway หมายถึง ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งทางตรรกะ แต่คือโลกที่ เต็มไปด้วยการพัวพันกันของสิ่งมีชีวิต มนุษย์-ไม่ใช่มนุษย์ เทคโนโลยี-สิ่งแวดล้อม ชนพื้นเมือง-อาณานิคม แทนที่จะตัดขาดหรือแยกให้ชัด เธอเสนอให้เรา อยู่ร่วมกับความยุ่งเหยิงซึ่งต้องใช้ทั้ง การฟังอย่างลึกซึ้ง การรับผิดชอบแบบสัมพันธ์ และ การไม่คิดว่าตัวเองรู้หรือควบคุมได้หมด
Bruno Latour เองก็เช่นกัน เขาเน้นว่าเราไม่สามารถพูดแทน nonhuman ได้เต็มที่ แต่อย่างน้อยเราควรเปิดพื้นที่ให้ “สิ่งหรือThing เข้ามาอยู่ร่วมในกระบวนการสร้างความจริง (assemblage)
Rosi Braidotti นักปรัชญาหญิงเชื้อสายอิตาเลียน-ออสเตรเลีย หนึ่งในนักคิดแนว posthuman feminism ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในช่วงหลัง เธอผสานแนวคิด feminism + Deleuze + posthumanism โดยมองว่ามนุษย์ไม่ใช่จุดศูนย์กลางของโลกอีกต่อไป เราต้องสร้างจริยธรรมใหม่ที่เคารพความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์, สัตว์, เครื่องจักร และสิ่งแวดล้อม เธอเสนอ แนวคิดเรื่อง Zoë-centered subjectivity” ที่หมายถึงอัตลักษณ์ที่เคารพพลังชีวิตทุกชนิด ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์ โดยเธอเชื่อว่าการเป็น posthuman ไม่ได้แปลว่า “ข้ามพ้นมนุษย์” แต่คือการเข้าใจว่าเราเชื่อมโยงกับสิ่งอื่น
Kim TallBear นักวิชาการที่เป็นชนพื้นเมืองอเมริกันเขาเชี่ยวชาญด้าน science & technology studies และ feminist Indigenous theory โดยวิจารณ์ว่าแนวคิดแบบ posthuman ที่นิยมในโลกตะวันตก (เช่น object-oriented ontology) มัก มองข้ามวิธีคิดของชนพื้นเมือง ซึ่งมองว่าสิ่งมีชีวิตและสิ่งของล้วนมีจิตวิญญาณและความสัมพันธ์อยู่แล้ว เธอพูดว่า “We have never been human” (เราชนพื้นเมืองไม่เคยได้เป็นมนุษย์เต็มตัวในสายตาของรัฐ) ซึ่งเป็นการเล่นคำกับชื่อหนังสือ We Have Never Been Modern ของ Latour เธอเสนอให้เรามองความสัมพันธ์กับ nonhuman แทนที่จะพยายามตีความ nonhuman ให้เข้าใจเหมือนมนุษย์
Ailton Krenak นักปรัชญาและนักเคลื่อนไหวพื้นเมืองชาวบราซิล (ชนเผ่า Krenak) เขาพูดและเขียนจากประสบการณ์ของชนพื้นเมืองที่ต่อสู้กับการทำลายสิ่งแวดล้อมและการล่าอาณานิคม ซึ่งถือเป็นเสียงสำคัญในโลกที่พยายาม “ถอดรื้อ” ความคิดตะวันตกเรื่องความเจริญและมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เขากล่าวถึงโลกที่วิถีอาณานิคมทำลายทุกอย่าง และเรียกร้องให้มนุษย์ เลิกทำตัวแยกจากโลก ซึ่งโลกไม่ได้ต้องการให้มนุษย์ ปกป้องธรรมชาติแต่มนุษย์ควร เลิกคิดว่าตัวเองอยู่เหนือธรรมชาติ โดยเขาใช้วาทกรรมของการ เล่าเรื่อง และฟังต้นไม้มากกว่าการพูดแทนธรรมชาติ
จุดที่น่าสนใจคือ ทั้ง 3 คน พยายามเชื่อมโยง posthuman กับประเด็นอาณานิคม เพศ อัตลักษณ์ และความสัมพันธ์ข้ามสปีชีส์ให้เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่ทางแยกกันอย่างเด็ดขาด
บางครั้ง สิ่งที่พูดไม่ได้ อาจไม่ต้องการให้ใครพูดแทน เลยก็ได้ หรือบางครั้งมันก็อาจจะอยากให้เราพูดแทนก็ได้ ไม่มีใครรู้
นักคิดแนว Nonhuman บางสาย (เช่น speculative realism, object-oriented ontology) พยายามลดบทบาทมนุษย์ลงอย่างสุดโต่ง ถึงขั้น “ปลดมนุษย์” ออกจากความสำคัญโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้อาจดูเท่หรือท้าทายเชิงปรัชญา แต่ในเชิงการเมืองมันอาจทำลายล้างการเมือง (depoliticizing) โดยเฉพาะการเมืองของมนุษย์ชายขอบด้วยเช่นกัน
ทางออกที่น่าคิดคือ การวิจารณ์จากขอบของชายขอบ ต้องให้คนชายขอบมีสิทธิพูดเกี่ยวกับ nonhuman ด้วย ไม่ใช่ให้ชนชั้นกลางขาวจากโลกเหนือพูดแทน เช่น งานของ Kim TallBear (นักวิชาการพื้นเมือง) พูดถึงการมีความสัมพันธ์กับสิ่งไม่ใช่มนุษย์ อย่างมีพิธีกรรม ความรัก และการดูแล ไม่ใช่แค่ทฤษฎี abstract หรือ Ailton Krenak ที่มองว่าธรรมชาติคือญาติ ไม่ใช่ “สิ่งอื่นที่ไร้เสียง” ดังนั้น nonhuman turn ต้องมี intersectionality ต้องเป็น nonhuman turn ที่รู้ตัวว่าตัวเองมีเชื้อชาติ ชั้นชน ความเปราะบาง
การทบทวนตัวเองว่า “ใครกำลังพูดแทนใคร” ปัญหาคือ ความพยายามจะให้เสียงแก่สิ่งที่พูดไม่ได้ เรากลับ สร้างเสียงให้มันผ่านกรอบรับรู้ของมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ในโลกวิชาการ นี่คือ การแทนที่แบบสองชั้นแทนที่คนชายขอบด้วย nonhuman และแทน nonhuman ด้วยวาทกรรมของนักวิชาการ
ทางออก คือ เลิก “พูดแทน” แล้ว “ร่วมฟัง” แทน ภายใต้แนวคิดแบบ multispecies ethnography เสนอให้เราศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ nonhuman โดยไม่ต้องสวมบทนักแปลหรือผู้รู้เหนือกว่า ฟังแบบเคารพมากกว่าพูดแทน เช่น ฟังว่าชาวประมงใช้ภาษากาย”กับสัตว์อย่างไร ชาวสวนเลี้ยงต้นไม้อย่างไร โดยไม่ตีความเกินสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นคือ การ “อยู่ร่วม” สำคัญกว่าการ “ตีความ”
สุดท้ายเชื่อม Nonhuman กับการเมืองของมนุษย์
ปัญหาที่เกิดจากการพูดถึง nonhuman โดยไม่โยงกับปัญหาสังคม เช่น ความยากจน การเหยียดเพศ เชื้อชาติ ฯลฯ ทำให้ nonhuman turn ถูกมองว่าหนีห่างออกจากโลกของความจริง ทางออกก็คือ การสร้างการเมืองข้ามสายพันธุ์ (multispecies politics) เช่น การต่อสู้ของชุมชนพื้นเมืองเพื่อปกป้องป่า ไม่ใช่แค่เรื่องคน กับ รัฐ แต่คือมนุษย์ร่วมมือกับ nonhuman หรือ activism ด้านสิ่งแวดล้อมที่มองว่าต้นไม้/แม่น้ำมีสิทธิทางกฎหมาย เป็นการเอา nonhuman กลับมาเชื่อมกับการต่อสู้ของมนุษย์ หรือแนวคิดEco-queer politics นักคิดบางคนเสนอว่า การอยู่กับ nonhuman แบบไม่ลำดับชั้น เป็นการหันหลังให้กับโครงสร้างแบบรักต่างเพศนิยม/ชายเป็นใหญ่ เช่นเดียวกับ queer politics
สรุปแม้ว่า Nonhuman turn จะละเลยมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ชายขอบ เราก็ควรให้ชายขอบมีสิทธิเขียนเรื่อง nonhuman การใช้ผัสสะมนุษย์กรองสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ต้องเปลี่ยนมโนทัศน์แบบฟัง-อยู่ร่วม มากกว่าพูดแทน สุดท้ายแม้ทฤษฎีหรูหราแต่ก็ดูไม่เชื่อมกับความทุกข์จริง เราควรจะสร้างการเมืองแบบ multispecies ในเชิงรูปธรรม…
ผมอ่านแล้วก็ได้ความคิด ได้แนวทางว่าเราควรขะมองมันแบบไหน และมีข้อชวนคิดขวนถกเถียงว่าเราจะอยู่ร่วมกับ nonhuman อย่างไม่แอบเหยียดความเป็นมนุษย์ชายขอบได้อย่างไร? หรือ เสียงที่พูดไม่ได้ ต้องการเสียงพูดแทน หรือต้องการให้หยุดพูดถึง?
ในโลกแห่งความย้อนแย้ง ดังเช่น เราต่อต้านเทคโนโลยีที่เอาเปรียบชีวิต แต่เราก็ใช้เทคโนโลยีนั้นอยู่ หรือเราอยากรักษาสิ่งแวดล้อม แต่โลกของเราถูกหล่อหลอมมาจากการทำลายธรรมชาติ หรือเราอยากอยู่กับ nonhuman อย่างเท่าเทียม แต่เรายังคิดผ่านกรอบภาษาของมนุษย์ …เราไม่ตเฝ้องหาทางแก้ความย้อนแย้งเหล่านี้ให้หมด แต่ขอให้เรา อยู่กับมันอย่างใส่ใจและซื่อสัตย์…ก็พอ
โดยใช้การฟัง เพื่อเชื่อมโยงสิ่งที่เรามีต่อสิ่งอื่น แล้วเลือก กระทำอย่างรับผิดชอบกับความสัมพันธ์นั้น เช่น ไม่ต้องช่วยสัตว์ แบบต้ งการเป็นฮีโร่ แต่อยู่กับมันแบบเพื่อน การรับรู้ว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาแล้วค่อยคิดว่าจะขยับตรงไหนอย่างถ่อมตัว นี่คือ จริยธรรมของการอยู่ร่วม (ethics of entanglement)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น