ความเท่าเทียม ที่ต้องมองด้วยความหลากหลาย มุมมองต่อเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์และการต่อสู้ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
เช้า ๆ ฝนตกริน ๆ แต่ความคิดแล่นมากกว่าฝนเลย…พิจารณาหนังสือที่อ่าน เชื่อมโยงกับสนามที่เคยได้ลงไปสัมผัส ใช้กรณีจากที่อื่นมาเปรียบเทียบให้เห็นมุมองที่กว้างขึ้น ….
ชนพื้นเมืองในอะเมซอนไม่ได้เพียงแค่เรียกร้องสิทธิที่ดินแต่เสนอวิถีการดูแลป่าแบบ องค์รวม, จิตวิญญาณ, และ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ดังเช่นคำพูดของ Davi Kopenawa ซึ่งเป็น ผู้นำชนเผ่า Yanomami ของอะเมซอน บราซิล มีคำกล่าวว่า “พวกเรากับป่าเป็นร่างเดียวกัน… ถ้าเขาเผาป่า เขาก็เผาร่างกายเรา“
ภายใต้แนวคิด Pluriversal Politics หรือ การเมืองแบบพหุโลกทัศน์ ที่นำเสนอแนวคิดโดยนักวิชาการละตินอเมริกา เช่น Arturo Escobar เขาเสนอว่า โลกไม่ได้มีวิธีคิดเดียว (แบบตะวันตก-รัฐชาติ-ทุน) การเคารพวิธีคิดแบบชนเผ่า เช่น “ป่าเป็นสิ่งมีชีวิต” จึงเป็นการเมืองอีกแบบหนึ่งที่ต้องได้รับการยอมรับ
การเปลี่ยนแปลงแนวคิดจาก จาก “สิทธิเสมอ” สู่ “สิทธิที่แตกต่าง” (Differentiated Rights) ในงาน ของ Charles Taylor โต้แย้งว่าสังคมที่ปฏิบัติต่อทุกคนเสมอกันโดยไม่ยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม อาจทำให้บางกลุ่มถูกกดทับ จึงเสนอว่ารัฐควรยอมรับความแตกต่างและจัดนโยบายให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม เช่น การอนุญาตให้กลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มมีระบบการศึกษาของตนเอง / ออกแบบนโยบายที่เคารพวิถีชีวิตดั้งเดิม
ดังนั้นน อัตลักษณ์ไม่ใช่ของตาย แต่เป็น “การเจรจา” ร่วมกัน Taylor จึงไม่ได้เมองว่าอัตลักษณ์เป็นสิ่งคงที่ แต่เกิดจาก กระบวนการเจรจาต่อรอง หรือสนทนาทางสังคม (dialogical process) การยอมรับอัตลักษณ์จึงไม่ใช่การ “แยกออกมา” แต่คือการ อยู่ร่วมกันบนความแตกต่างตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ Charles Taylor ใช้ อาทิเช่น
กรณี Quebec ในแคนาดา เช่น กลุ่ม Francophone ใน Quebec ต้องการ รักษาภาษาและวัฒนธรรมของตน โดย Taylor สนับสนุนแนวคิด “Multinational Federalism” ที่ให้ Quebec มีสถานะพิเศษ แม้จะอยู่ในรัฐเดียวกันกับกลุ่ม Anglo-Canadian แต่ต้องมีกฎหมาย ภาษา และนโยบายที่ต่างออกไป
หรือกรณีของกลุ่มชนพื้นเมือง (First Nations) ที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า กลุ่มพื้นเมืองควรมีสิทธิในการปกครองตนเองบางส่วน (Self-governance) ต้องได้รับการยอมรับว่าเป็น “ประชาคมทางวัฒนธรรม” ที่มีสิทธิ์กำหนดอนาคตของตนเอง ไม่ใช่แค่การมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่คือ การมีสิทธิที่จะแตกต่าง
แนวคิดของ Charles Taylor ทำให้เราเข้าใจว่า การจัดการกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่ “ให้ทุกคนเหมือนกัน”
แต่คือการ “เคารพในความแตกต่าง” อย่างมีเกียรติ ผ่าน นโยบายยอมรับ, พื้นที่ทางวัฒนธรรม, และ บทสนทนาอย่างเสมอภาค
ผมสนใจความเฉพาะทางวัฒนธรรม ในโลกยุคใหม่ บุคคลต้องการให้ผู้อื่น “รับรู้” ตัวตนของตนอย่างมีคุณค่า การถูกละเลยหรือบิดเบือนอัตลักษณ์ เป็น การกดทับเชิงวัฒนธรรม ที่ร้ายแรงพอ ๆ กับการกดขี่ทางเศรษฐกิจ …การแสดงออกทางพิธีกรรมและอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์จึงมีความ น่าสนใจที่สะท้อนว่าชนพื้นเมืองไม่เพียงแต่เป็น “เหยื่อ” แต่ยังเป็น “ผู้เสนอทางออก” ด้วยวิธีคิดใหม่ที่ไม่เหมือนรัฐสมัยใหม่และเราควรจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งเหล่านี้
ภววิทยาแบบตะวันตกที่เน้นความรู้ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางในการอธิบายสิ่งต่างๆที่อยู่ร่วมกัน..ความท้าทายวิธีคิดแบบตะวันตกในการจัดประเภท คน สัตว์ พืช และสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่มนุษย์ออกจากกัน โดยการมองข้ามว่า สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ต่างก็มีคุณลักษณะเข่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไปได้ และควรได้รับการปฏิบัติในฐานะที่เป็น Subject ..ความคิดแบบทวิลักษณ์ที่เน้นความแตกต่างของคู่แย้ง ระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ จึงใช้ไม่ได้กับภววิทยาของขนพื้นเมือง ที่อยู่บนฐานคิดแบบสัมพัทธนิยม Relativism ที่เขื่อมโยงประสบการณ์เชิงผัสสะของตัวเอง เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งเหนือธรรมชาติ..
พิธีกรรมเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม บรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ร่วมกับธรรมชาติและเชื่อมโยงกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ดิน น้ำ ป่าไม้ รวมถึงสิ่งเหนือธรรมขาติที่เป็นเจ้าของ ผู้คุ้มครอง เพื่อเชื่อมโยงกับความยั่งยืน การปกปักรักษาและการเยียวยาทางจิตใจ โดยกลุ่มชาติพันธุ์ใข้การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เช่น การติดต่อสื่อสารกับธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติและการใช้พิธีกรรมเพื่อเข้าถึงอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ ดังเช่น แนวปฏิบัติของชาวกะเหรี่ยงด้ายเหลือง ใช้การสวดมนต์ การเต้นรำทางจิตวิญญาณ และการเชื่อมต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น แม่ธรณี แม่โพสพ (พิบื่อโหย่ว) แม่คงคา เป็นต้น
พิธีกรรมไม่ได้เป็นเพียงการสะท้อนหรือเป็นตัวแทนของชีวิตทางสังคมและความกังวลของผู้คน แต่พิธีกรรมเป็นพื้นฐานสำหรับการสนทนา การตอบโต้ การต่อรองและการไตร่ตรอง ที่ทำให้เกิดพื้นที่ของการเจรจาที่เป็นไปได้เกี่ยวกับความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับความเป็นจริงทางสังคม
ผู้คนหลายคน หลายพื้นที่ปล่อยให้ประเพณีพื้นเมืองของพวกเขาจางหายไป และค่อยๆ เลือนหายไปจากสังคมสมัยใหม่ที่เราอาศัยอยู่ แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงผูกพันอย่างลึกซึ้งกับรากเหง้าดั้งเดิมของพวกเขายังคงยึดมั่น ในขณะที่โลกหมุนเร็วขึ้นและความทันสมัยคืบคลานเข้าไปอย่างเข้มข้น การปฏิบัติทางจิตวิญญาณและศาสนา มีบางอย่างที่เหมือนกัน นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าพิธีกรรม
พิธีกรรมมีหลายรูปแบบ บางส่วนเป็นส่วนรวม บางส่วนเป็นประสบการณ์ส่วนตัว มีการแสดงออกด้วยเหตุผลหลายประการรวมถึงอารมณ์ที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ เพื่อการอธิษฐาน การรักษาตนเอง การเริ่มต้นสถานภาพใหม่ การเฉลิมฉลอง การได้รับภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ หรือการติดต่อกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า ผี หรือธรรมชาติ เป็นต้น เป็นวิธีการแสดงเจตจำนงโดยการยอมรับตัวเองเข้าสู่อาณาจักรแห่งวิญญาณโดยใช้คำอธิษฐาน ธูป เทียน ดอกไม้และเครื่องมือทางจิตวิญญาณ หรือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสมือนขั้นตอนหรือกระบวนการที่นำไปสู่การบรรลุประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของผู้คน..
ปัจจุบันนโยบายเกี่ยวกับกลุ่มขาติพันธุ์ เน้นการกลืนกลายหรือกลมกลืนมากกกว่าจะยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ภายใต้แนวคิดความเป็นพลเมือง ซึ่งเป็นพลเมืองเท่าเทียมแบบไม่เห็นความต่าง ทำให้รัฐละเลยที่จะรับรองอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในฐานะสิทธิที่ต้องคุ้มครอง ทำให้เกิดปัญหาตัวอย่าง เช่น นโยบายจัดที่ดินในพื้นที่ป่า การกำหนดสถานะบุคคลของกลุ่มไร้สัญชาติ การควบคุมพื้นที่ชายแดน หรือการส่งเสริมภาษาไทยแทนภาษาถิ่น และการจัดการศึกษาประวัติศาสตร์แบบศูนย์กลาง เป็นต้น
การกำหนด “กลุ่มชาติพันธุ์” ไม่ใช่เรื่องของวัฒนธรรมล้วน ๆ แต่เป็นเรื่อง “การปฏิสัมพันธ์กับรัฐ” และ “เส้นแบ่งทางสังคม”ทำชี้ให้เห็นว่า รัฐมักนิยามกลุ่มชาติพันธุ์ตามกรอบอำนาจของตน ทั้งที่เราควรสนับสนุนการให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงอยู่ด้วยอัตลักษณ์ตนเองอย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้รัฐ และเคารพคบามหบลากหลายของวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างแท้จริง
เครดิตภาพ ขอบคุณรูปภาพ ประกอบจากคุณหน่อย รัตนา ภูเหม็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น