ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิด Animism ในการมองความสัมพันธ์ของคน พืช สัตว์ และวิญญาณ มองผ่านงาน Graham Harvey โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

เช้าๆ เขียน ประเด็นลง Blog….ที่ผมจะต่อยอดเรื่องงานวิจัยกะเหรี่ยงลัทธิเจ้าวัด กับความเชื่อเรื่องผี เพื่อพัฒนาเป็นบทความอีกชิ้นหนึ่ง หนังสือที่ผมหยิบยกมาคือ Animism: Respecting the Living World (2005) โดย Graham Harvey เป็นหนังสือที่สำรวจและนำเสนอแนวคิดเรื่องอะนิเมติสม์ (Animism) ในบริบทที่กว้างขึ้นและร่วมสมัย หนังสือเล่มนี้ชวนให้เรามองโลกใหม่ว่า ไม่ใช่แค่โลกของมนุษย์เท่านั้น แต่เป็นโลกที่เราต้อง อยู่ร่วมกับ “ผู้มีชีวิต” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะมีรูปร่าง พูดได้ หรือเป็นสิ่งที่เราเคยคิดว่า “ไม่มีชีวิต” หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับนักมานุษยวิทยา นักสิ่งแวดล้อม นักศึกษาศาสนา และใครก็ตามที่ต้องการมองโลกด้วยความเคารพมากขึ้น ความน่าสนใจที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้คือ การตั้งคำถามใหม่ต่อความคิดตะวันตกแบบแยกมนุษย์-ธรรมชาติ การส่งเสริมแนวคิด posthumanism และ multispecies ethnography การให้ความสำคัญกับ “ความสัมพันธ์” มากกว่าการครอบครอง รวมทั้งการเปิดพื้นที่ให้เราศึกษาวัฒนธรรมอื่นโดยไม่มองผ่านกรอบ Eurocentric “Animism is far from primitive, nor is it about pre‑modernity because animism does not serve as a precursor to modernity. Rather animism is one of the many vitally present and contemporary other‑than‑modern ways of being human.” ประโยคนี้ในหนังสือนี้มีความน่าสนใจ ในการท้าทายกรอบคิดแบบตะวันตกที่มอง animism ว่าเป็นแค่ “ความเชื่อโบราณ” แต่ Harvey เสนอว่าเป็น “วิถีชีวิตร่วมสมัย” ไม่ใช่สิ่งที่ล้าหลัง แนวคิด Animism เป็นความสัมพันธ์ ไม่ใช่ความเชื่อ โดย Harvey เสนอว่า animism ควรเข้าใจว่าเป็นวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ อย่างเคารพ แทนที่จะเป็น “ความเชื่อว่าในสิ่งของมีวิญญาณ” แบบที่เข้าใจกันทั่วไป แทนที่จะเราจะถามว่า “สิ่งนี้มีจิตวิญญาณไหม?” Harvey เสนอให้ถามว่า “เราปฏิบัติต่อสิ่งนี้ในฐานะบุคคลหรือผู้มีชีวิตอย่างไร?” “Animists are people who recognize that the world is full of persons, only some of whom are human, and that life is always loved in relationship with others. Animism is lived out in various ways that are all about learning to act respectfully (carefully and constructively) toward and among other persons.” หัวใจสำคัญคือความเคารพความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์ Harvey ยกตัวอย่างวัฒนธรรมต่างๆ ที่พูดกับต้นไม้ พูดกับสัตว์ หรือพูดกับแม่น้ำ ไม่ใช่เพราะหลงผิด แต่เพราะเข้าใจว่า สิ่งเหล่านั้นคือผู้กระทำที่มีเจตจำนง (agent) Harvey เน้นถึงความเป็นบุคคล (Personhood) ในมุมมองเกี่ยวกับแนวคิด animist ของ Harvey สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหิน แม่น้ำ หรือสัตว์ ล้วนสามารถมี “ความเป็นบุคคล” ได้ หากสังคมนั้นยอมรับว่าพวกเขา มีความตั้งใจ ความสัมพันธ์ หรือการสื่อสาร ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมี “วิญญาณ” ตามความเข้าใจแบบตะวันตก แต่มีตัวตนที่สามารถโต้ตอบ สร้างพันธะ หรือสมควรได้รับการเคารพ Harvey มองว่า การเคารพ (Respect) คือหัวใจของ Animism ภายใต้การอยู่ร่วมกับโลกอย่างเคารพสิ่งอื่น ๆ คือหัวใจสำคัญของโกทัศน์แบบ animist worldview ซึ่งไม่ใช่เพียงไม่ทำลาย แต่หมายถึง การสื่อสาร ฟัง และแลกเปลี่ยนกับโลกโดยรอบ ทั้งมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ โดย Harvey เชื่อว่าโลกทัศน์แบบ animist นี้สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และวิกฤตโลกปัจจุบันได้ ดังนั้น Harvey ได้ให้นิยามของคำว่า Animism คือ ความเชื่ออะนิเมติสม์เป็นมากกว่าความเชื่อว่า "ทุกสิ่งมีวิญญาณ" เขามองว่า Animism คือการรับรู้และยอมรับว่าทุกสิ่งในโลกธรรมชาติเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กันได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้, แม่น้ำ, ภูเขา หรือสัตว์ เป็นต้น Harvey เสนอให้เรามอง Animism เป็นแนวคิดที่ไม่เพียงแต่การเชื่อว่าทุกสิ่งมีวิญญาณ แต่ยังเป็นการเข้าใจว่าทุกสิ่งในธรรมชาติมีความสำคัญและมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กันได้ หนังสือเน้นการสร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ความสัมพันธ์และการเคารพธรรมชาติในระดับที่ลึกซึ้ง อะนิเมติสม์ไม่ได้มองธรรมชาติเป็นเพียงทรัพยากรที่ใช้ได้ตามต้องการ แต่เป็นสิ่งที่ควรเคารพและปฏิบัติต่ออย่างระมัดระวัง Harvey ใช้กรณีศึกษาและตัวอย่างจากชนเผ่าพื้นเมืองและวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีที่อะนิเมติสม์ถูกปฏิบัติและสื่อสารในแต่ละบริบทวัฒนธรรม หนังสือเน้นถึงความสำคัญของการสื่อสารและ ปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิต อื่นๆในลักษณะที่เคารพและฟังเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม, การกล่าวคำขอบคุณ, หรือการทำสมาธิ ในประเด็นเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม โดย Harvey อธิบายว่าการยอมรับและปฏิบัติตามแนวคิดอะนิเมติสม์สามารถนำไปสู่การปฏิบัติที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเคารพธรรมชาติเป็นการสร้างความสมดุลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน ความน่าสนใจคือ การทบทวนแนวคิดทางมานุษยวิทยา Harvey สำรวจการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในแนวคิดทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับอะนิเมติสม์ และวิธีที่มุมมองร่วมสมัยสามารถช่วยให้เราเข้าใจและเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้ดีขึ้น เขาได้เสนอแนวคิดเรื่องเพื่อนร่วมโลก คำว่า "เพื่อนร่วมโลก" ในงานของ Graham Harvey ใช้คำว่า "Companion Species“ ซึ่ง Harvey ใช้แนวคิดเรื่อง "เพื่อนร่วมโลก" เพื่อเน้นว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่ได้แยกออกจากกัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโลกเดียวกัน การปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วยความเคารพและความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสมดุลของโลก สาระสำคัญของหนังสือ Animism: Respecting the Living World คือการเรียกร้องให้เรามองโลกธรรมชาติด้วยมุมมองที่ลึกซึ้งและเคารพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมโลก และสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับธรรมชาติในลักษณะที่รับผิดชอบและยั่งยืน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ใช้ในหนังสือ "Animism: Respecting the Living World" โดย Graham Harvey ประกอบด้วย 1. การเคารพป่าไม้เป็นวิญญาณ โดย Harvey เน้นการให้ความสำคัญกับการเคารพป่าไม้เป็นองค์ประกอบที่มีชีวิตและสื่อสารกับมนุษย์ ในภาพเชิงรูปธรรมนี้ป่าไม้ถูกมองเป็นบุคคลที่มีคุณค่าและความสำคัญต่อชีวิตของโลก Harvey อธิบายถึงภูมิปัญญาที่เชื่อว่าป่าไม้เป็นบริวารสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก การแสดงในรูปธรรมนี้อาจประกอบด้วยภาพวาดหรือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงป่าไม้เป็นผู้มีชีวิตที่สำคัญที่ต้องรักษาและเคารพ ตัวอย่างรูปธรรมในพิธีกรรมของชาว Sámi ในสแกนดิเนเวียชาว Sámi ปฏิบัติต่อกวางเรนเดียร์ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง แต่เป็น “ญาติ” หรือ “ผู้ร่วมโลก” พิธีฆ่าสัตว์ไม่ได้เป็นการแสวงหาอาหารเฉยๆ แต่เป็นการเจรจา แลกเปลี่ยน และขออนุญาตอย่างมีพิธีรีตอง 2. สัตว์เป็นผู้มีวิญญาณ ซึ่ง Harvey เสนอถึงการสัมผัสและการสื่อสารกับสัตว์ในฐานะที่มีวิญญาณ การตั้งชื่อและการปฏิบัติต่อสัตว์เหล่านี้เป็นตัวอย่างของเชิงรูปธรรมที่เน้นการเคารพและเชื่อในความสามารถของพวกเขา ในภาพเชิงรูปธรรมนี้อาจมีการเล่าเรื่องราวหรือสิ่งที่แสดงถึงความเชื่อในวิญญาณของสัตว์และความสำคัญของการเชื่อมโยงกับพวกเขา อาจมีภาพของคนที่ตั้งชื่อสัตว์หรือตัวแทนของสัตว์ในการทำพิธีกรรม ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น การกินในมุมมอง Animism โดย Harvey บอกว่าแม้แต่การกินก็ควรเป็นการแลกเปลี่ยนที่เคารพ อาทิเช่น ในบางวัฒนธรรม animist เช่นในอเมริกาเหนือหรืออเมซอน การฆ่าสัตว์เพื่อกินอาหาร จะต้องมีการ “ขออนุญาต” และ “ขอบคุณ” เพราะถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิต ไม่ใช่การครอบครอง 3. พิธีกรรมเชิงศาสนา การเรียกร้องในพิธีกรรมและการเชื่อมโยงกับตำนานทางศาสนาเป็นตัวอย่างของภาพเชิงรูปธรรมที่แสดงถึงความเชื่อในความเชื่อในการสื่อสารกับโลกธรรมชาติและวิญญาณที่อยู่รอบตัว ภาพเชิงรูปธรรมนี้อาจแสดงถึงการเชื่อมโยงกับพิธีกรรมทางศาสนาหรือพิธีกรรมที่มีการใช้สัญลักษณ์หรือการแสดงที่เน้นการเคารพสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ 4. ภูเขาและแม่น้ำที่มีวิญญาณ การพูดถึงและการเคารพภูเขาและแม่น้ำเป็นสิ่งที่มีชีวิตในภาพเชิงรูปธรรมให้เห็นถึงการเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีวิญญาณ เป็นผีที่คอยปกป้องดูแลจากภัยคุกคามและมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลก Harvey ใช้ภาพของภูเขาหรือแม่น้ำที่มีความสำคัญในวงศ์วานท้องถิ่นเป็นตัวอย่าง การนำเสนอในรูปธรรมที่เน้นการสื่อสารและการเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและธรรมชาติ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในวัฒนธรรม Neo-Pagan และ Druid โดย Harvey ลงพื้นที่ศึกษา neopaganism ในอังกฤษและพบว่า พวกเขามีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับต้นไม้ แม่น้ำ และดวงจันทร์ โดยมองว่าทุกสิ่งล้วนมีชีวิต พวกเขามีการพูดคุยกับต้นไม้ในป่า สร้างเวทมนตร์ที่อิงกับพลังของโลกธรรมชาติ โดยไม่ใช้ “วิญญาณ” แบบแยกจากร่างกาย แต่เป็นการ ยอมรับพลังของโลกที่อยู่ร่วมกับเรามากกว่า ผมชอบคำในหนังสือ ที่บอกว่า “The act of seeing is always relational, and, whether we are aware of it or not, part of the relationship involved in seeing is with the things that are not‑seen.” นั่นคือ การเห็นไม่ได้เป็นแค่การมอง แต่คือการมีสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่ปรากฏตา หรือข้อความที่บอกว่า Country is sentient and inhabited; its forms are not accidental or ‘natural’ but have their genesis in specific actions that can be retold in story and song.” ดินแดนไม่ใช่เพียงภูมิศาสตร์ แต่เป็น “ผู้มีชีวิต” ที่มีเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์เชื่อมโยง ดังนั้น แนวคิดและมุมมองเหล่านี้มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะสิ่งที่ผมเรียกว่าแนวคิดจิตวิญญาณของดินแดน ซึ่งทำให้เราเข้าใจโลกเต็มสองด้าน มีทั้งที่จับต้องได้และโลกจิตวิญญาณ ซึ่งสัมพันธ์กันอย่างขาดไม่ได้ และให้เราปรับทัศนคติต่อธรรมชาติ และมองว่า โลกมีหลายมิติที่ลึกกว่าที่ตาของเราจะมองเห็น….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...