ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดของ Micheal Jackson กับวิธีคิดแบบPhenomenology ในการประยุกต์ใช้ทางมานุษยวิทยา นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ระหว่างหาประเด็นเติม มานุษยวิทยาว่าด้วยร่างกาย และหาเรื่องราวลง blog จริงๆ ผมก์เคยรีวิวงานของเขาบางเล่มเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่งานใหม่ๆของเขาฝนปัจจุบันก็มีความน่าสนใจ และนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานสนามทางมานุษยวิทยาได้ ในการศึกษาผู้ป่วยซึมเศร้า ผู้สูงอายุ แรงงานอพยพ คนไร้บ้าน และอื่น ๆ ที่ให้ความสนใจชีวอนประจำวันของผู้คนจริงๆ มากกว่าการคิดในเชิงนามธรรม ที่จับต้องไม่ได้และเน้นโครงสร้างมากเกินไป จากคำกล่าวของ Micheal D. Jackson (1998) ในหนังสือ ma Ethnographica: Intersubjectivity and the Anthropological Project ที่บอกว่า “The inability or refusal to speak does not signify the absence of meaning, but may be its very condition.” (การไม่สามารถหรือไม่ยอมพูด ไม่ได้หมายถึงการไม่มีความหมาย แต่อาจเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความหมาย) เขาเสนอแนวคิดเรื่อง Intersubjectivity (ภาวะรับรู้ร่วม) โดย Jackson เสนอว่า “ประสบการณ์มนุษย์” ไม่สามารถเข้าใจได้จากมุมมองของปัจเจกเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องเข้าใจมนุษย์ในฐานะ สิ่งมีชีวิตที่สัมพันธ์กับผู้อื่น ดังนั้น ความหมายของชีวิตและตัวตน (self) ถูกสร้างขึ้นจาก “ความสัมพันธ์” การให้ความสำคัญกับ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน มากกว่าการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง เขาเชื่อว่าอัตลักษณ์และความหมายเกิดขึ้นใน การปฏิสัมพันธ์ มากกว่าการอยู่ลำพัง ดังนั้น งานของเขาจึงสนใจการฟัง การอยู่ร่วม และการ “อยู่กับความทุกข์” ร่วมกับผู้คนที่เขาศึกษา รวมทั้งแนวคิดแบบ Existential Anthropology (มานุษยวิทยาแห่งการดำรงอยู่) ซึ่งเป็นการเน้น “ประสบการณ์ในชีวิตจริงของมนุษย์” มากกว่าแนวคิดหรือโครงสร้างที่เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ ภาวะการมีชีวิตอยู่ ( The Lived Experience) Jackson มองว่ามนุษย์ทุกคนต่างพยายามสร้างความหมายและรักษาสมดุลกับโลกที่เปลี่ยนแปลง เขาสนใจ “ชีวิตประจำวัน” และ “ความพยายามของมนุษย์ธรรมดา” เช่น การอยู่รอด, ความสัมพันธ์ และการเยียวยา เป็นต้น โดย Jackson มองว่านักมานุษยวิทยาควรตั้งต้นจากสิ่งที่ผู้คน “รู้สึก” และ “กระทำ” มากกว่าสิ่งที่ผู้คน “พูดว่ามันเป็นระบบ” ที่สะท้อนว่า Jackson ให้คงามสำคัญกับสิ่งที่ เรียกว่า Embodiment และ การดำรงอยู่ในโลก (Being-in-the-World) ซึ่ง Jackson เน้นว่า “ร่างกาย” คือจุดเริ่มต้นของการรับรู้ความหมายของโลก ที่เขาได้รับอิทธิพลจากปรัชญาของ Merleau-Ponty และ Heidegger ซึ่งมองว่าเราดำรงอยู่ในโลกผ่านการเคลื่อนไหวและการรับรู้ทางร่างกาย Jackson วิจารณ์มานุษยวิทยาที่ชอบสรุปแบบ “วาทกรรม” โดยละเลยสิ่งที่ผู้คนต้องเผชิญในชีวิตจริง เขาเรียกร้องให้ “ฟังเสียงคนธรรมดา” และเข้าใจสิ่งที่คนเหล่านั้นพยายามกระทำ เพื่อความอยู่รอด และเพื่อความหมาย ดังข้อความสำคัญของเขาในหนังสือที่บอกว่า “Anthropology is not about studying people as objects of knowledge, but about engaging with them as fellow subjects of life.” (มนุษยวิทยาไม่ใช่การศึกษาผู้คนในฐานะวัตถุแห่งความรู้ แต่คือการมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์) ตัวอย่างในงานของเขา คือชีวิตจองเซียร์ราลีโอน (Sierra Leone) เขาเล่าถึงผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสงคราม ความยากจน และการสูญเสีย คนเหล่านี้ไม่ได้คิดเป็น “ทฤษฎี” แต่ใช้ การเล่าเรื่อง, พิธีกรรม, และ ความทรงจำร่วม เพื่อเยียวยาตนเอง Jackson แสดงให้เห็นว่าการเล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่สูญเสียลูก ไม่ใช่แค่การเล่าความเศร้า แต่คือการ “กู้คืนอัตลักษณ์” ของเธอในสังคมด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีกรณีเรื่องของความเงียบที่ไม่ไร้เสียง Jackson วิเคราะห์ว่าบางครั้ง ความเงียบ ก็เป็น “ถ้อยคำ” รูปแบบหนึ่ง เช่น คนที่ไม่พูดถึงบาดแผลในอดีต ไม่ใช่เพราะลืม แต่เพราะ “ไม่มีถ้อยคำใดเพียงพอ” เขาเรียกร้องให้นักมานุษยวิทยา “ฟังความเงียบ” และไม่ด่วนตีความตามความคิดแบบตะวันตก ในมุมของ Jackson “ความเงียบ” ไม่ได้หมายถึงแค่การไม่พูด แต่เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วย นัยทางอารมณ์และความหมาย ดังนั้น ความเงียบอาจเป็นการป้องกันตนเอง ความเงียบอาจเป็นการแสดงความเคารพ หรือการยืนยันความเจ็บปวดที่ยากจะพูด และความเงียบคือ พื้นที่ของความสัมพันธ์ ไม่ใช่ช่องว่าง ดังที่ Jackson บอกว่า “The inability or refusal to speak does not signify the absence of meaning, but may be its very condition.” (การไม่สามารถหรือไม่ยอมพูด ไม่ได้หมายถึงการไม่มีความหมาย แต่อาจเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความหมาย) ในงานของเขา ที่เขียนผ่านเรื่องเล่า ( politics of Story telling ) กรณี หญิงชาว Mende ในเซียร์ราลีโอน ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเคยสูญเสียลูกชายจากเหตุความรุนแรงในสงคราม แต่เธอไม่เคยพูดถึงลูกชายโดยตรง แต่จะ จ้องมองไปไกล ๆ, ลูบบ่าเงียบ ๆ, หรือ เล่าเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง Jackson ไม่ได้ตีความว่าเธอ “ลืม” หรือ “ไม่ยอมรับความจริง” แต่เขาทำความเข้าใจว่า “ความเงียบ” ของเธอ และมองว่ามันคือรูปแบบหนึ่งของการ “ครอบครองความเศร้าไว้กับตัว” และป้องกันตัวจากคบามเปราะบางและการแตกร้าวทางอารมณ์ ดังนั้น ความเงียบคือ พื้นที่ของการเยียวยา ถือเป็นภาวะในช่วงที่ภาษา “ธรรมดา” อาจไม่เพียงพอ จึงต้องปล่อยให้ ร่างกาย ความนิ่ง การสบตา หรือพิธีกรรม แสดงความหมายแทนคำพูดนับล้านคำ หรือในกรณีเรื่องเล่าของชาวฟินแลนด์ชนบทในฟินแลนด์ Jackson เล่าเรื่องชายคนหนึ่งในฟินแลนด์ที่ไม่ค่อยพูด แต่สื่อสารกับคนรอบข้างผ่านการกระทำ เช่น การซ่อมบ้าน, แบ่งอาหาร, หรือการเดินเข้าไปนั่งข้างคนที่เศร้า ดังนั้นความสัมพันธ์เหล่านี้เกิดขึ้นจาก การกระทำที่ไม่ต้องพูด สำหรับ Jackson นี่คือการ “อยู่ร่วม” อย่างมีความหมาย โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูด Jackson วิจารณ์ว่ามานุษยวิทยาแบบดั้งเดิมเน้นการวิเคราะห์ “คำพูด” เป็นหลัก เช่น การสัมภาษณ์ การอธิบายด้วยทฤษฎีทางภาษา (discourse) แต่ในความเป็นจริง คนจำนวนมากมี รูปแบบการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูด เช่น การร้องไห้ การเงียบ การสัมผัส หรือ การกระทำประจำวัน เช่น การทำอาหารให้คนในครอบครัว Jackson เรียกให้หันมาสนใจ “ความสัมพันธ์แบบกายภาพ” (corporeal intersubjectivity) หรือการสื่อสารผ่านร่างกาย ความรู้สึก และการดำรงอยู่ร่วมกันในโลก ผมนึกถึงเรื่องราวในสนามของผู้สูงอายุที่ตัวเองเคยทำ มีอยู่กรณีหนึ่งที่ผู้สูงอายุคนหนึ่งที่นั่งเงียบ ๆ ในบ้าน ไม่เล่าเรื่องลูกหลาน หรืออดีตที่เคยเจ็บปวดอะไรให้ผมในฐานะที่เป็นผู้ศึกษาฟัง นับหนึ่งผู้สูงอายุที่มีภาวะเป็นคนที่ซึมเศร้าอาจไม่ตอบสนองคำถามโดยตรง หรือไม่อยากอธิบายอาการของตน ผมอาจเอาแนวติดนี้มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาวิจัย ในฐานะของนักวิจัย หรือแม้แต่คนที่ทำงานเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ ก็ไม่ควรรีบ “แปลความ” หรือ “ตีความ” ความเงียบว่าเป็นเพียงการไม่ร่วมมือ แต่ ควรรับฟัง “ความเงียบ” ด้วยความเข้าใจในบริบท เช่น สีหน้า ท่าทาง พฤติกรรมประจำวัน เราอาจใช้ “กิจกรรมเงียบ” เช่น การนั่งอยู่ใกล้ ๆ ทำอาหารด้วยกัน หรือนวดมือ เป็นพื้นที่สร้าง intersubjectivity ระหว่างกัน ผมมองว่าในบางครั้งระหว่างที่ผมนั่งคุยกับผู้สูงอายุอีกคนที่คุบบอกเล่าเรื่องราว ผู้สูงอายุท่านนั้น นั่งฟัง แม้จะไม่ตอบหรือสนทนาด้วย แต่ในบางเรื่องราวที่เราเล่า สีหน้าแววตา ท่าทางของท่าน บ่งบอกความรู้สึกต่อเรื่องราวนั้น ในพิธีกรรมในชุมชนเมื่อ40-50 ปีที่แล้ว แววตาของความสุข รอบยิ้ม จากเหตุการณ์ความทรงจำกับเพือนๆ หรือแววตาที่เศร้าสร้อย เมื่อพูดถึงการสูญเสียของคนรู้จัก อารมณ์โศกเศร้าที่แปรเปลี่ยนไปสู่การแสดงออกของผลลัพธ์ทางอารมณ์ที่การร้องไห้ปรากฏออกมาผ่านใบหน้า หลังจากนั้นไม่นาน ผู้สูงอายุท่านนั้นก็เปิดใจที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ผมจึงได้มีโอกาสไปบ้านและนั่งเล่นกับผู้สูงอายุท่านนั้นบ่อยครั้ง ผู้สูงอายุท่านนั้นแม้ว่าจะเลิกพูดเรื่องลูกที่ตายไปนานแล้ว แต่ยังเก็บเสื้อผ้าเดิม ๆ ไว้ในตู้ บางครั้งภาวะซึมเศร้าที่อาจจะมำให้ไม่พูดความในใจ แต่ปรากฏผ่านการแสดงออก การใช้ท่าทาง เหม่อลอย การมีน้ำตา หรือการกอดรูป กอดสิ่งของบางอย่างเป็นการสื่อสาร ดังนั้น การสังเกตสิ่งของ การเคลื่อนไหว หรือความเงียบซ้ำ ๆ ของบุคคลอาจเป็น “ภาษาแห่งความรู้สึก” บางครั้งเชื่อมโยงกับการให้ความสำคัญกับพิธีกรรม การปฏิบัติเล็ก ๆ เช่น การจัดดอกไม้บูชา การพับเสื้อผ้า การทำสวน เดินเล่นหน้าบ้าน การเลี้ยงสัตว์ การทำปาดตงเตรียมออาหารเซ่นไหว้พ่อแม่ในห้องผีเฮือนา สิ่งเหล่านี้คือการ “ดำรงอยู่” อย่างมีความหมาย ดังนั้น ในมุมมองมานุษยวิทยาการแพทย์ ที่สนใจ แนวคิดแบบปากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) แทนที่จะอธิบายอาการด้วยภาษาทางการแพทย์ Jackson เสนอให้ “รับรู้ประสบการณ์แบบแรกเริ่ม (first-person)” ของคน ๆ นั้น ดังเช่น ผู้สูงอายุที่ “เศร้า” ไม่ได้เศร้าเพราะเคมีสมองผิดปกติเท่านั้น แต่เพราะสูญเสียบทบาททางสังคม แต่เกี่ยวโยงกับความรู้สึก “ไร้ค่า” ของผู้สูงอายุ อาจเกิดจากการถูกตัดออกจากความสัมพันธ์ที่เคยให้คุณค่า ผมในฐานะนักมานุษยวิทยาจึงใช้วิธีการลงพื้นที่ ฟังเรื่องเล่า บันทึกสิ่งที่คน ๆ นั้น “รู้สึก” มากกว่า “เป็นอะไร” และอยู่บนพื้นฐานทางความคิดว่า อย่ามองเขาแค่ในฐานะ “ผู้ป่วย” แต่ในฐานะมนุษย์ที่กำลังหาความหมายในการดำรงอยู่ ผมว่ามุมมองแบบนี้จะมำให้เรามองแบบเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์ได้มากขึ้น **อ้างอิงหนังสือสำคัญของเขา** 1. Paths Toward a Clearing: Radical Empiricism and Ethnographic Inquiry (1989) วางรากฐานให้ “มนุษยวิทยาแบบปรากฏการณ์วิทยา” โดยเน้นการมองชีวิตผ่านสายตาของผู้คนที่มีประสบการณ์นั้นจริง 2. At Home in the World (1995) ศึกษาคน Mende ในเซียร์ราลีโอน โดยแสดงให้เห็นว่าผู้คนสร้างความหมายให้ชีวิตภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน 3. Minima Ethnographica: Intersubjectivity and the Anthropological Project (1998) เสนอว่ามนุษยวิทยาควรศึกษาความหมายที่ผู้คนสร้างขึ้นจากการมีชีวิตจริง ๆ มากกว่าการสรุปแบบนามธรรม 4. The Politics of Storytelling (2002) เน้นว่าการเล่าเรื่อง (narrative) คือเครื่องมือเยียวยาและสร้างความเข้าใจร่วมกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...