ระหว่างเดินทาง….ขาย คอร์ส
หนังสือแนะนำสำหรับรายวิชา Anthropology of Sex and Sexuality ชื่อ Sex at Dawn: How We Mate, Why We Stray, and What It Means for Modern Relationships เขียนโดย Christopher Ryan และ Cacilda Jethá
หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในงานร่วมสมัยที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับใช้ประกอบการอภิปรายในหัวข้อเพศภาวะและเพศวิถี โดยเฉพาะเมื่อโยงเข้ากับประเด็นเพศวิถีนอกขนบในสังคมไทย
เริ่มต้นจาก Ryan และ Jethá นำเสนอข้อถกเถียงว่า การมีคู่ผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) ไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นผลของกระบวนการวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม ตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานถาวรจนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมยุคใหม่
โดยประเด็นหลักจากหนังสือ คือการนำเสนอข้อถกเถียงจสกสมมติฐานดังกล่าวคือ
1. ประวัติศาสตร์เชิงวิวัฒนาการ …มนุษย์ในอดีตมีรูปแบบการอยู่ร่วมและมีเพศสัมพันธ์ที่หลากหลาย การมีคู่หลายคน (promiscuity) เคยเป็นกลไกเพิ่มโอกาสการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ก่อนจะถูกจำกัดด้วยระบบเศรษฐกิจและโครงสร้างครอบครัวที่มุ่งควบคุมทรัพยากร
โดยในหนังสือมีการนำเสนอว่าการจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) ไม่ใช่พฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นผลมาจากวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมและการตั้งถิ่นฐานถาวร การเลี้ยงดูและเก็บเกี่ยวทรัพยากรเพื่อความอยู่รอดทำให้เกิดพฤติกรรมทางเพศที่เปลี่ยนไป เช่น ข้อจำกัดของทรัพยากร การเปลี่ยน แปลงของเครื่องจักรและเทคโนโลยี ที่ทำให้การขยายพื้นที่เพาะปลูกไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานมากมาย ในอดีต สังคมบางสังคมเน้นการมีลูกมาเพื่อมาช่วยงาน หรือเป็นสังคมแบบพหุสามีหรือภรรยา ที่ต้องการแต่งงานเข้ามาเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมด้านการเพาะปลูกและการดำรงชีพของครอบครัว
2. บทบาทของเพศสัมพันธ์ในฐานะกลไกทางสังคม …เพศสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เพื่อการสืบพันธุ์ แต่ยังสร้างความผูกพัน ความร่วมมือ และความเป็นปึกแผ่นในกลุ่ม จึงไม่สามารถแยกขาดจากบริบททางสังคมและวัฒนธรรม
ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็อธิบายถึง พฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ในอดีต ผู้เขียนอ้างถึงหลักฐานทางมานุษยวิทยาและโบราณคดีที่บ่งชี้ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์มีพฤติกรรมทางเพศที่เป็นกลุ่ม (promiscuity) มากกว่าการจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวดังเช่นมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ พฤติกรรมนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ในอดีต
หนังสือชี้ให้เห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการสืบพันธุ์ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงทางสังคมในกลุ่มด้วย ดังนั้นเรื่องเพศสัมพันธ์จึงไม่ใช่แค่เรื่องรสนิยมและความพึงพอใจในระดับปัจเจก แต่มีเงื่อนไขทางสังคมวัฒนธรรมกำกับด้วยเช่นกัน
3. ผลกระทบจากวิถีชีวิตสมัยใหม่ ผู้เขียนวิจารณ์ว่าระบบคู่สมรสแบบผัวเดียวเมียเดียวอาจขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นต้นเหตุของความตึงเครียด การนอกใจ และอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้น
โดย Ryan และ Jethá ยกตัวอย่างสังคมที่มีระบบความสัมพันธ์เปิดของชนเผ่าและสัตว์ที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ เช่น ชนเผ่า Hadza, Mosuo, Canela ที่มีระบบการมีคู่อย่างยืดหยุ่น หรือลิงโบโนโบ ซึ่งใช้เพศสัมพันธ์ในการสร้างสายสัมพันธ์และลดความขัดแย้งในกลุ่ม ดังเช่นกลุ่มชนพื้นเมืองและชนเผ่า
1.1 ชนพื้นเมือง Hadza ของแทนซาเนีย โดยชนเผ่า Hadza ที่ใช้ชีวิตแบบนักล่า-เก็บของแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการแบ่งปันทรัพยากรและมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่ผูกพัน พวกเขามักมีการเปลี่ยนคู่ครองและไม่ยึดติดกับการมีคู่ครองเพียงคนเดียว
1.2 ชนเผ่า Pirahã ของอเมซอน โดยชนเผ่า Pirahã ในอเมซอนมีวัฒนธรรมที่เปิดกว้างต่อการมีเพศสัมพันธ์นอกการแต่งงาน พวกเขาไม่ได้มีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งงานแบบตะวันตกและไม่ถือว่าการมีความสัมพันธ์
ทางเพศหลายคู่เป็นเรื่องผิด
1.3 ชนเผ่า Mosuo ของจีน โดยชนเผ่า Mosuo ในจีนมีระบบความสัมพันธ์แบบ "เดินกลางคืน" (walking marriage) ซึ่งหมายความว่าผู้ชายและผู้หญิงสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยไม่ต้องมีการแต่งงานอย่างเป็นทางการ พวกเขาสามารถมีคู่ครองหลายคนได้และความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ผูกพันกันในระยะยาว
1.4 ชนเผ่า Tiwi ของออสเตรเลีย โดยชนเผ่า Tiwi ในออสเตรเลียมีระบบการแต่งงานที่ผู้หญิงสามารถมีสามีหลายคนในช่วงชีวิตของพวกเธอ การแต่งงานใหม่หลังจากการหย่าร้างหรือการเสียชีวิตของสามีเป็นเรื่องปกติ
1.5 ชนเผ่า Canela ของบราซิล โดยชนเผ่า Canela ในบราซิลมีพิธีกรรมที่เรียกว่า "พันธมิตรแห่งเพศสัมพันธ์" (ritualized sexual alliances) ซึ่งผู้หญิงสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายหลายคนในชุมชน ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงเดียวกันจะรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตรของเธอร่วมกัน
1.6 ชนเผ่า Mehinaku ของบราซิล ในหมู่ชนเผ่า Mehinaku ผู้หญิงสามารถเลือกมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายหลายคนและผู้ชายที่เป็นคู่ครองจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิด นี่แสดงให้เห็นถึงการมีระบบความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่ผูกพันกับการมีคู่ครองเพียงคนเดียว
1.7 ระบบครอบครัวในสังคมล่าสัตว์-เก็บของป่า ในสังคมล่าสัตว์-เก็บของเช่น Kung ของแอฟริกาแสดงให้เห็นถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่เปิดกว้างและไม่ผูกพันกับการมีคู่ครองเพียงคนเดียว พวกเขามีระบบครอบครัวที่ยืดหยุ่นและการเลี้ยงดูบุตรที่ได้รับการช่วยเหลือจากชุมชนทั้งหมด
ตัวอย่างสัตว์ที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับมนุษย์
ลิงโบโนโบ (Bonobo) แบะลิงชิมแปนซี โดยโบโนโบแบะชิมแปนซีซึ่งเป็นลิงสายพันธุ์ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุดมีพฤติกรรมทางเพศที่เปิดกว้างและใช้เพศสัมพันธ์เป็นวิธีการสร้างความสัมพันธ์และแก้ไขความขัดแย้งในกลุ่ม โบโนโบมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่หลายคู่ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมที่อาจพบในมนุษย์ยุคแรก แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวก็อาจเป็นการเปรียบเทียบที่ต้องการข้อมูลและหลักฐานข้อมูลในการสนับสนุนที่เพียงพอ
นอกจากนี้ผู้เขียนยังมีการวิเคราะห์ทางชีววิทยาและสรีรวิทยา โดย ผู้เขียนชี้ว่าโครงสร้างร่างกายมนุษย์ เช่น รูปทรงของอวัยวะเพศชาย ปริมาณน้ำเชื้อ หรือพฤติกรรมทางเพศของผู้หญิงที่ไม่จำกัดเฉพาะช่วงตกไข่ ล้วนสะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่โน้มเอียงต่อการมีคู่อย่างหลากหลายดังกล่าว
Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อ้างอิงการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้หลายชิ้นพบว่าผู้หญิงมีความต้องการทางเพศที่สูงในช่วงที่ไม่ใช่ช่วงตกไข่ ซึ่งแตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ ที่การผสมพันธุ์จะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงตกไข่เท่านั้น การมีความต้องการทางเพศที่สูงนอกช่วงตกไข่นี้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนการมีเพศสัมพันธ์กับคู่หลายคน ซึ่งแนวความคิดดังกล่าวก็ดูเหมือนจะละเลยและตัดขาดมิติทางสังคมวัฒนธรรมที่มีผลต่อการควบคุมและการสอดส่องพฤติกรรมในทางเพศ รวมทั้งการมองว่าความต้องการทางเพศไม่ได้มีเฉพาะผู้หญิงแต่มีในผู้ชายและเพศอื่นๆด้วย
Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการวิจารณ์สังคมสมัยใหม่ อาทิเช่น
1. อัตราการหย่าร้าง
Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ชี้ให้เห็นว่าอัตราการหย่าร้างสูงในหลายประเทศเป็นหลักฐานที่แสดงว่าการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวอาจไม่สอดคล้องกับธรรมชาติทางวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ถูกควบคุมและถูกต่อต้าน
2. การนอกใจ
Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ชี้ว่าการนอกใจเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปในทุกวัฒนธรรม หนังสือเสนอว่าการนอกใจอาจเป็นผลมาจากการพยายามรักษาธรรมชาติทางวิวัฒนาการของมนุษย์ในการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่เปิดกว้าง และความขัดแย้งกับระบบสังคมวัฒนธรรมที่พยามควบคุมสิ่งเหล่านี้ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ระบบศีลธรรม
หนังสือ "Sex at Dawn" ใช้ตัวอย่างเหล่านี้เพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ว่าการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวไม่ใช่พฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์และการเข้าใจธรรมชาติทางวิวัฒนาการนี้จะช่วยให้เรามีมุมมองที่เปิดกว้างมากขึ้นต่อเรื่องความสัมพันธ์และการมีคู่ครองในสังคมสมัยใหม่
การศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และชีววิทยาคือข้อมูลที่ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá นำมาสนับสนุน และพบประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น
1. การทำงานของฮอร์โมนและระบบประสาท
Christopher Ryan และ Cacilda Jethá นำเสนอการวิจัยที่แสดงว่าฮอร์โมนเช่นออกซิโทซินและโดพามีนมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้สึกผูกพันและความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องผูกพันกับคู่ครองเพียงคนเดียวเท่านั้น
2. การศึกษาเกี่ยวกับการสำเร็จความใคร่
Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อ้างอิงผลงานการวิจัยพบว่าผู้หญิงมีการสำเร็จความใคร่ได้ง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นเมื่อมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่หลายคนในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่ามนุษย์มีความโน้มเอียงทางธรรมชาติที่จะมีคู่ครองหลายคน อันนี้อาจเป็นเพราะผู้เขียนเป็นผู้ชายหรือเปล่า ที่พุ่งเน้นพฤติกรรมแบบนี้ไปที่ผู้หญิงฝ่ายเดียว แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้ก็เกิดกับผู้ชายได้เช่นเดียวกัน
เนื่องจากผู้เขียนวิจารณ์ว่าวิถีชีวิตสมัยใหม่และการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวอาจทำให้เกิดความตึงเครียดและปัญหาในความสัมพันธ์ เนื่องจากไม่สอดคล้องกับธรรมชาติทางวิวัฒนาการของมนุษย์ ประเด็นนี้ก็สามารถถกเถียงกันได้ต่อว่า ถ้ามันดีขนาดนั้น แล้ว ทำไมสังคมปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของศีลธรรมและการไม่นอกใจ การมีผัวเดียวเมียเดียว หรือมีความสัมพันธ์แบบมากเมีย มากผัวและอื่นๆ แสดงว่าความสัมพันธดังกล่าววก็มีปัญหาเช่นกัน หรือเพราะวิธีคิดแบบรักโรแมนติก ที่ปรากฏในงานวรรณกรรมตะวันตก และอิทธิพลทางศาสนา ที่เสริมความแข็งแกร่งในเชิงศีธรรมของความสัมพันธ์
นอกจากนี้หนังสือยังเสนอว่า อัตราการหย่าร้างและการนอกใจสะท้อนความไม่สมดุลระหว่างธรรมชาติของมนุษย์กับโครงสร้างศีลธรรมในสังคม รวมถึงความพึงพอใจในความสัมพันธ์ไม่ได้ขึ้นกับจำนวนคู่ครอง แต่ขึ้นกับความซื่อสัตย์ การสื่อสาร และความยืดหยุ่นของคู่รัก
โดย Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ได้ใช้การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มาอธิบายพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์เช่นกัน
1. ประวัติศาสตร์ของการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว
Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อ้างถึงประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเกษตรกรรมและการถือครองทรัพย์สินส่วนบุคคลที่นำไปสู่การพัฒนาการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวเพื่อควบคุมทรัพยากรและสืบทอดทรัพย์สินให้แก่ลูกหลาน
2. ความพึงพอใจในความสัมพันธ์
การศึกษาของ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá แสดงให้เห็นว่าความพึงพอใจในความสัมพันธ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีคู่ครองเพียงคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์และการสื่อสารที่ดีระหว่างคู่ครองด้วยเช่นกันเป็นเงื่อนไขสำคัญ การเปิดกว้างและยืดหยุ่นในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศสามารถนำไปสู่ความสุขและความพึงพอใจมากขึ้น
3.ความหลากหลายในระบบครอบครัว
Christopher Ryan และ Cacilda Jethá นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบครอบครัวที่หลากหลายในสังคมต่างๆ ทั่วโลก ที่ไม่ได้ยึดติดกับการมีคู่ครองเพียงคนเดียวหรือครอบครัวเดี่ยวเท่านั้น เช่น ครอบครัวแบบขยายที่มีการดูแลเด็กโดยชุมชนทั้งหมด
จุดแข็งของหนังสือ คือท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเรื่องคู่ผัวเดียวเมียเดียว โดยอ้างอิงข้อมูลจากการศึกษาทางมานุษยวิทยา ชีววิทยา และจิตวิทยา ซึ่งกระตุ้นการตั้งคำถามและการอภิปรายเชิงวิพากษ์
ข้อวิจารณ์ที่อาจจะต้องระวัง อย่าเพิ่งตัดสินใจเชื่อ เพราะทุกอย่างล้วนแตกต่างตามบริบทของแต่ละที่ เล่น สังคมเกษตนกรรม สังคมประมง สังคมทางศาสนา จำนวนประชากรชายหญิง ล้วนมีคว่มสัมพันธ์กับเรื่องของครอบครัวและการแต่งงานทั้งสิ้น
สิ่งที่ผมเห็นและตั้งข้อสังเกตกับงานชิ้นนี้คือ การเลือกใช้ข้อมูลที่สนับสนุนทฤษฎีของผู้เขียนมากเกินไป อาจทำให้เกิดอคติ และกลายเป็นการด่วนสรุปเกินไป
ดังจะเห็นได้จากบางบทสรุปทั่วไปเกินไป ไม่ครอบคลุมความหลากหลายของวัฒนธรรม งานเขียนในลักษณะนี้ อาจถูกมองว่าเป็นงานที่มีมุมมองชายเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงพฤติกรรมของผู้หญิง
สรุป Sex at Dawn เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับใช้ในการเรียนรู้และอภิปรายถึงเพศภาวะ เพศวิถี และความสัมพันธ์ทางเพศในมิติต่าง ๆ ทั้งทางชีววิทยา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามกับความเชื่อที่เรายึดถือ และเสนอทางเลือกใหม่ในการทำความเข้าใจมนุษย์อย่างรอบด้าน
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น