ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มานัยวิทยากับกทาศึกษา Microbes โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ตอนนี้ผมสนใจเรื่อง Magic and Microbes ที่เหมือนคนละศาสตร์แต่จริงๆแล้วเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันในหลายวัฒนธรรม แนวคิด Holobiont คือแนวคิดทางชีววิทยาที่อธิบายถึงการที่สิ่งมีชีวิตต่างๆ อาศัยอยู่ร่วมกันในลักษณะที่เป็นระบบเดียว โดยมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและพึ่งพาอาศัยกัน ความหมายของ Holobiont นั้นครอบคลุมถึงทั้งสิ่งมีชีวิตหลัก (Host) และจุลินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกัน (Microbiota) ซึ่งสร้างระบบที่ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นหากพิจารณาองค์ประกอบของ Holobiont หลักๆสรุปง่ายๆก็คือ 1. สิ่งมีชีวิตหลัก (Host) สิ่งมีชีวิตหลักสามารถเป็นพืช สัตว์ หรือมนุษย์ที่เป็นเจ้าบ้านของจุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ 2. จุลินทรีย์ (Microbiota) กลุ่มจุลินทรีย์ที่อยู่ในหรือบนสิ่งมีชีวิตหลัก เช่น แบคทีเรีย (Bacteria) ไวรัส (Viruses) ฟังไจ (Fungi) และโปรโตซัว โดยจุลินทรีย์เหล่านี้สามารถอยู่ในอวัยวะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตหลัก เช่น ลำไส้ ผิวหนัง หรือช่องปาก 3.ความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกัน ผ่านสิ่งที่เรียกว่าการพึ่งพาอาศัย (Mutualism) สิ่งมีชีวิตหลักและจุลินทรีย์มักมีความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย เช่น จุลินทรีย์ในลำไส้ช่วยย่อยอาหารและผลิตสารอาหารที่จำเป็นให้กับเจ้าบ้าน ในขณะที่เจ้าบ้านให้ที่อยู่อาศัยและอาหารให้กับจุลินทรีย์ 4. การป้องกัน (Protection) จุลินทรีย์บางชนิดสามารถช่วยป้องกันเจ้าบ้านจากการติดเชื้อหรือการรุกรานจากจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย 5. การสื่อสาร (Communication) สิ่งมีชีวิตหลักและจุลินทรีย์สามารถสื่อสารกันผ่านสัญญาณทางเคมี เช่น การปล่อยสารที่ส่งสัญญาณการเจริญเติบโตหรือการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างของ Holobiont ดังเช่น 1. มนุษย์และจุลินทรีย์ในร่างกาย มนุษย์มีจุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้ ผิวหนัง และอวัยวะอื่นๆ ที่ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันเชื้อโรค และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม 2. พืชและเชื้อราไมโครไรซา ฟังไจ (Mycorrhizal Fungi) รากของพืชบางชนิดมีเชื้อราไมโครไรซาอาศัยอยู่ซึ่งช่วยในการดูดซึมสารอาหารจากดิน เช่น ฟอสฟอรัส ในขณะที่พืชให้คาร์โบไฮเดรตแก่เชื้อรา 3. ปะการังและสาหร่ายซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) ปะการังมีสาหร่ายซูแซนเทลลีที่อาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื่อของพวกมัน สาหร่ายเหล่านี้ช่วยผลิตอาหารผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง ในขณะที่ปะการังให้ที่อยู่อาศัยและสารอาหารแก้สาหร่าย ดังนัันอาจสรุปความสำคัญของแนวคิด Holobiont ที่มีการนำไปประยุกต์ใช้ได้ดังนี้คือ ในการศึกษาและการวิจัย มีการนำแนวคิด Holobiont ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงความซับซ้อนและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ และส่งเสริมการวิจัยที่เน้นการศึกษาระบบที่ทำงานร่วมกัน ในทางสุขภาพและการแพทย์ การทำความเข้าใจ holobiont ช่วยในการพัฒนาวิธีการรักษาและส่งเสริมสุขภาพ เช่น การใช้โปรไบโอติกเพื่อปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ให้กับมนุษย์ ในการอนุรักษ์และการจัดการสิ่งแวดล้อม ความเข้าใจเกี่ยวกับHolobiont สามารถช่วยในการอนุรักษ์ระบบนิเวศและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยการรักษาความสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ดังนั้น Holobiont จึงเป็นแนวคิดที่เน้นการมองสิ่งมีชีวิตในเชิงระบบและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านชีววิทยา การแพทย์ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คำถามต่อมาคือ การศึกษาและการเชื่อมโยงกับแนวคิดในทางมานุษยวิทยาได้อย่างไรบ้าง ผมมองว่า ในเรื่องของการปรับตัวและวิวัฒนาการ นักมานุษยวิทยาสนใจศึกษาเกี่ยวกับการปรับตัวของมนุษย์และจุลินทรีย์ในระบบ Holobiont และวิธีการที่ความสัมพันธ์นี้มีผลต่อวิวัฒนาการของมนุษย์ ในทางสุขภาพและการแพทย์ การวิจัยเกี่ยวกับไมโครไบโอมมีบทบาทสำคัญในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์ นักมานุษยวิทยาทางชีววิทยาสนใจศึกษาว่าจุลินทรีย์ในร่างกายมนุษย์มีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริมสุขภาพหรือก่อให้เกิดโรคกับมนุษย์ได้บ้าง ในทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม นักมานุษยวิทยาสนใจศึกษาวิธีการที่วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมมีผลต่อความหลากหลายและการกระจายของไมโครไบโอมในกลุ่มประชากรต่างๆ ตัวอย่างเช่น ผลกระทบของอาหาร วิถีชีวิต และการใช้ยาปฏิชีวนะต่อไมโครไบโอม เป็นต้น ผมสนใจในทางการแพทย์แบบพื้นบ้าน ในบางสังคมที่มีการเชื่อมโยงหลากมิติในการรักษาทั้ง มิติทางจิตวิญญาณความเชื่อ เวทมนต์คาถา ยาสมุนไพร รวมถึง การใช้ microbes ในพิธีกรรมการรักษาโรค ดังเช่นหนังสือที่มผมจะยกตัวอย่างชื่อ Microbes and Other Shamanic Beings ของ César E. Giraldo Herrera เป็นงานเขียนที่น่าสนใจซึ่งนำเสนอการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ผ่านเลนส์ทางมานุษยวิทยาและวัฒนธรรมชามานิก หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดที่แปลกใหม่เกี่ยวกับวิธีการที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์และการรับรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้ สาระสำคัญที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้มีดังนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ โดย Herrera สำรวจวิธีการที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์ในระดับต่างๆ รวมถึงการที่จุลินทรีย์มีบทบาทสำคัญในสุขภาพและโรคของมนุษย์ การศึกษาความสัมพันธ์เหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงวิธีการที่จุลินทรีย์ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มพ่อมด หมอผี ที่สื่อสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่เรียกว่าชาแมน หรือชามานิก ในมุมมองทางวัฒนธรรมและชามานิก (Shamanic) ในหนังสือเล่มนี้สำรวจมุมมองทางวัฒนธรรมและชามานิกเกี่ยวกับจุลินทรีย์ Herrera ใช้วิธีการศึกษาชามานิกเพื่ออธิบายวิธีการที่ชามานรับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและลึกซึ้งระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ในการเชื่อมโยงกับความเชื่อและพิธีกรรม โดย Herrera วิเคราะห์ความเชื่อและพิธีกรรมของชามานที่เกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ และวิธีการที่ความเชื่อเหล่านี้ส่งผลต่อการรักษาและการป้องกันโรค ความสัมพันธ์เหล่านี้สะท้อนถึงวิธีการที่วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์สามารถมาบรรจบกัน ในวิธีการวิจัยแบบสหสาขาวิชา หนังสือเล่มนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบสหสาขาวิชา รวมถึงชีววิทยา มานุษยวิทยา และวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ การรวมเอาวิทยาการต่างๆ มาใช้ทำให้เกิดความเข้าใจที่ครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในการพิจารณาเชิงปรัชญาโดย Herrera พิจารณาคำถามเชิงปรัชญาเกี่ยวกับการรับรู้และการมีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์ รวมถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตนและการมีอยู่ของมนุษย์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ซับซ้อน ในการวิจัยภาคสนามและการสัมภาษณ์ หนังสือเล่มนี้ใช้ข้อมูลจากการวิจัยภาคสนามและการสัมภาษณ์ชามานและผู้ปฏิบัติงานอื่นๆ ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงประสบการณ์จริงและมุมมองที่หลากหลาย หนังสือ Microbes and Other Shamanic Beings โดย César E. Giraldo Herrera มีการ ใช้แนวคิดหลายประการในการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ ผ่านมุมมองทางวัฒนธรรม ในกลุ่มชามาน( พ่อมด หมอผี ผู้รักษาโรค) และชีวมานุษยวิทยา แนวคิดหลักที่ถูกนำมาใช้ในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 1.แนวคิด Holobiont เป็นพื้นฐานสำคัญในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งมองสิ่งมีชีวิต (เช่น มนุษย์) และจุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องเป็นหน่วยเชิงนิเวศเดียวกันที่ทำงานร่วมกัน Herrera ใช้แนวคิดนี้เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ 2.มานุษยวิทยาชีวะ (Biological Anthropology) โดย Herrera ใช้แนวคิดจากชีวมานุษยวิทยาเพื่อศึกษาว่ามนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์อย่างไร และวิธีการที่จุลินทรีย์มีบทบาทสำคัญต่อวิวัฒนาการและสุขภาพของมนุษย์ 3. มานุษยวิทยาทางวัฒนธรรม (Cultural Anthropology) โดยใช้การสำรวจความเชื่อและพิธีกรรมในกลุ่มชามานิก(Shamanic) ที่เกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์เป็นส่วนสำคัญของหนังสือ Herrera วิเคราะห์วิธีการที่วัฒนธรรมต่างๆ รับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์ และวิธีการที่ความเชื่อเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพและการรักษาโรค 4. แนวคิดเรื่องสมดุลทางนิเวศวิทยา (Ecological Balance)โดย Herrera ใช้แนวคิดเกี่ยวกับสมดุลทางนิเวศวิทยาเพื่ออธิบายว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์มีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลในระบบนิเวศขนาดเล็กและขนาดใหญ่ การรักษาสมดุลนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ 5. ชีวมิติและปรัชญาชีวิต (Biometrics and Life Philosophy) โดย Herrera พิจารณาคำถามเชิงปรัชญาเกี่ยวกับตัวตนของมนุษย์และการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก แนวคิดเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจลึกซึ้งถึงการที่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ซับซ้อน 6. แนวคิดการอยู่ร่วมกัน (Symbiosis) หนังสือเน้นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย Herrera อธิบายวิธีการที่จุลินทรีย์และมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน โดยวิธีการศึกษาเกี่ยวกับชามานิก (Shamanic) ของ Herrera ใช้วิธีการศึกษาชามานิกในการอธิบายว่าชามานรับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์อย่างไร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อนระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ในบริบททางวัฒนธรรม เขาใช้การวิเคราะห์เชิงสหสาขาวิชา โดยมีการใช้แนวคิดจากหลายสาขาวิชาช่วยให้ Herrera สามารถนำเสนอภาพรวมที่ครอบคลุมและลึกซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ การผสมผสานแนวคิดเหล่านี้ทำให้หนังสือมีมิติที่หลากหลายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หนังสือ Microbes and Other Shamanic Beings ใช้แนวคิดจากชีวมานุษยวิทยา มานุษยวิทยาทางวัฒนธรรม สมดุลทางนิเวศวิทยา และปรัชญาชีวิตในการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดที่แปลกใหม่และลึกซึ้งเกี่ยวกับวิธีการที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และวิธีการที่วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์สามารถมาบรรจบกันในการศึกษาชีวิตและสุขภาพของมนุษย์ ในหนังสือ เล่มนี้มีตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจหลายอย่างที่แสดงถึงวิธีการที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์ผ่านมุมมองทางวัฒนธรรมและชามานิก ตัวอย่างเหล่านี้รวมถึง ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจได้แก่ 1. การรักษาแบบชามานิก ในวัฒนธรรมชามานิก หลายแห่งมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้จุลินทรีย์เพื่อการรักษา ชามานมักใช้สมุนไพรและสารสกัดจากธรรมชาติที่มีจุลินทรีย์หรือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการรักษาโรค ตัวอย่างเช่น การใช้เห็ดราในการรักษาโรคและปรับสมดุลของร่างกาย 2. การทำความสะอาดและการป้องกันโรค โดย ชามานในบางวัฒนธรรมใช้พิธีกรรมการทำความสะอาดชำระล้างเพื่อสร้างความบริสุทธิ์รวมถึงการใช้จุลินทรีย์ในการป้องกันโรค ตัวอย่างเช่น การใช้โคลนหรือน้ำจากแหล่งธรรมชาติที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการทำความสะอาดร่างกายและป้องกันการติดเชื้อ 3. การใช้จุลินทรีย์ในพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ ซึ่งจุลินทรีย์บางชนิดถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ เช่น การใช้จุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติทางชีวเคมีเพื่อสร้างสภาพจิตที่เปลี่ยนแปลง เช่น การใช้เห็ดราในพิธีกรรมของชนเผ่ามาไซ (Maasai) ในแอฟริกา หรือชนพื้นเมืองในเปรู เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ 4. การปรับสมดุลทางนิเวศวิทยา ในบางวัฒนธรรม การใช้จุลินทรีย์ในการปรับสมดุลทางนิเวศวิทยาถือเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิต เช่น การใช้จุลินทรีย์ในกระบวนการหมักอาหาร ซึ่งไม่เพียงแค่ช่วยในการเก็บรักษาอาหาร แต่ยังมีผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค เช่น การหมักนมเป็นโยเกิร์ต หรือการหมักผักเป็นกิมจิ 5. การวิจัยภาคสนามและการสัมภาษณ์ชามาน โดย Herrera ใช้ข้อมูลจากการวิจัยภาคสนามและการสัมภาษณ์ชามานเพื่ออธิบายวิธีการที่ชามานรับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับจุลินทรีย์ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงถึงความเข้าใจเชิงลึกและการประยุกต์ใช้จุลินทรีย์ในชีวิตประจำวันและพิธีกรรมทางวัฒนธรรมของชามาน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ Microbes and Other Shamanic Beings ของ César E. Giraldo Herrera แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ผ่านมุมมองทางวัฒนธรรมและชามานิก ตัวอย่างเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงวิธีการที่วัฒนธรรมต่างๆ ใช้จุลินทรีย์ในพิธีกรรม การรักษา และการป้องกันโรค ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการพึ่งพาอาศัยกันและความสำคัญของจุลินทรีย์ในชีวิตมนุษย์ รวมทั้งมีการนำเสนอตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหลายประเทศ โดยเน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจุลินทรีย์ในบริบททางวัฒนธรรมและพิธีกรรมชามานิก ตัวอย่างที่สำคัญจากหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 1. ประเทศโคลอมเบีย โดย Herrera ได้ศึกษาพิธีกรรมชามานิกในโคลอมเบีย ซึ่งชามานในพื้นที่ใช้จุลินทรีย์ที่พบในพืชสมุนไพรท้องถิ่นเพื่อรักษาโรคและปรับสมดุลของร่างกาย ตัวอย่างเช่น การใช้พืชที่มีฤทธิ์ต้านจุลชีพในการทำพิธีกรรมเพื่อรักษาผู้ป่วย 2. ประเทศเปรู ตัวอย่างในเปรู ชามานที่ใช้ยาแผนโบราณมักใช้พืชและจุลินทรีย์ในกระบวนการรักษา ตัวอย่างเช่น การใช้แบคทีเรียในน้ำหมักที่ทำจากพืชท้องถิ่นเพื่อปรับสมดุลของร่างกายและวิญญาณ 3. ประเทศแอฟริกา ในพิธีกรรมของชนเผ่ามาไซในแอฟริกา ซึ่งใช้เห็ดราและจุลินทรีย์อื่นๆ ในพิธีกรรมทางศาสนาและการรักษา ตัวอย่างเช่น การใช้เห็ดราในพิธีกรรมเพื่อสร้างสภาพจิตที่เปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างสุขภาพของคนในชุมชน 4. อเมริกาเหนือ โดย Herrera ยังศึกษาชุมชนชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือที่ใช้จุลินทรีย์ในกระบวนการรักษาและพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ ตัวอย่างเช่น การใช้จุลินทรีย์ในกระบวนการหมักอาหารเช่นโยเกิร์ตหรือเครื่องดื่มหมักเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ดังนั้น ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ Microbes and Other Shamanic Beings ของ César E. Giraldo Herrera มาจากหลายประเทศทั่วโลก โดยเน้นการศึกษาพิธีกรรมชามานิกในโคลอมเบีย เปรู แอฟริกา และอเมริกาเหนือ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวิธีการที่วัฒนธรรมต่างๆ ใช้จุลินทรีย์ในพิธีกรรม การรักษา และการป้องกันโรค ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของจุลินทรีย์ในชีวิตมนุษย์และวิธีการที่วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์สามารถมาบรรจบกันในการศึกษาชีวิตและสุขภาพของมนุษย์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...