ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มานุษยวิทยาว่าด้วยยาและสารเสพติด โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือชื่อ “Righteous Dopefiend” (2009) ของ Philippe Bourgois & Jeffrey Schonberg ถือเป็นงานชาติพันธุ์วรรณนา (ethnography) ที่ใช้ระยะเวลา มากกว่าสิบปี ในการศึกษาชีวิตของกลุ่มคนไร้บ้านที่ใช้เฮโรอีนแบะโคเคนในซานฟรานซิสโก สองนักมานุษยวิทยา Philippe Bourgois และ Jeffrey Schonberg ได้ทำงานภาคสนามอย่างใกล้ชิด โดยการใช้ participant observation และการบันทึกภาพ (photo-ethnography) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างสังคมที่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในวงจรของความยากจน การถูกกีดกันทางสังคม และการเสพติดดังนั้นหนังสือเล่มนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นงานชาติพันธุ์วรรณนาแนว critical medical anthropology หรือมานุษยวิทยาการแพทย์เชิงวิพากษ์ ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับ โครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเชื้อชาติ ที่ส่งผลให้คนบางกลุ่มต้องติดอยู่ในวงจรของการเสพติดและการไร้บ้าน โดยรวมหนังสือเล่มนี้แนะนำกลุ่มตัวอย่างและบริบทของคนไร้บ้านในซานฟรานซิสโก้ ผ่านการศึกษาวิธีที่คนไร้บ้านใช้เฮโรอีนและโคเคนในชีวิตประจำวัน ที่สะท้อนให้เห็นการแบ่งแยกทางเชื้อชาติและการสร้างกลุ่มย่อยในชุมชนคนไร้บ้าน รวมถึงผลกระทบของนโยบายรัฐต่อคนไร้บ้านและผู้ใช้ยา ที่สามารถนำไปสู่วิเคราะห์โครงสร้างทางสังคมที่ทำให้ปัญหาการเสพติดรุนแรงขึ้น สุดท้ายเขาได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางแก้ปัญหา Philippe Bourgois & Jeffrey Schonberg ชี้ให้เห็นว่า การใช้ยาเสพติดไม่ใช่แค่เรื่องของปัจเจกบุคคล แต่เกี่ยวข้องกับ บริบททางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ที่ผลักให้พวกเขาต้องพึ่งพาสารเสพติดเพื่อเอาชีวิตรอด แนวคิดสำคัญในหนังสือที่น่าสนใจคือ การมองความรุนแรงผ่านแนวคิด 1. Structural Violence (ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง) โดย Bourgois และ Schonberg ใช้แนวคิดนี้เพื่ออธิบายว่าการเสพติดของคนไร้บ้านไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” ในชีวิตของพวกเขาเอง แต่เป็นผลลัพธ์ของระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือก รวมถึงนโยบายของรัฐ เช่น การกวาดล้างคนไร้บ้านและกฎหมายต่อต้านยาเสพติด ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่กลับทำให้ชีวิตพวกเขายิ่งลำบากขึ้น แนวคิดนี้มาจาก Paul Farmer ซึ่งใช้เพื่ออธิบายว่า ความทุกข์ทรมานของคนไร้บ้านและผู้ใช้ยาไม่ได้เกิดจากตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจที่กดขี่พวกเขา ตัวอย่างในหนังสือแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลใช้นโยบายที่ทำให้คนไร้บ้านต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น การกวาดล้างพื้นที่คนไร้บ้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาไม่มีที่อยู่ถาวรและไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ 2. Symbolic Violence (ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์) ที่สะท้อนว่าคนไร้บ้านในชุมชนที่ศึกษาได้ “ซึมซับ” ความอับอายเกี่ยวกับร่างกายและสถานะของตัวเอง และรู้สึกว่าพวกเขาสมควรจะถูกมองว่าเป็นคนนอกของสังคม หรือขยะของสังคม แนวคิดนี้มาจาก Pierre Bourdieu ที่หมายถึง กระบวนการที่คนในสังคมซึมซับและยอมรับอคติทางสังคมที่กดขี่ตนเอง ในกรณีของคนไร้บ้าน พวกเขาซึมซับความรู้สึกว่าตัวเองเป็น “ขยะสังคม” และรู้สึกว่าตนเองสมควรได้รับชะตากรรมที่โหดร้ายนี้ 3. Intimate Apartheid (การแบ่งแยกเชิงใกล้ชิด) ถึงแม้ว่าคนไร้บ้านที่ใช้ยาเสพติดจะอยู่ร่วมกัน แต่พวกเขายังคงมี การแบ่งแยกทางเชื้อชาติระหว่างกัน เช่น คนผิวขาวจะมักใช้เฮโรอีนผ่านการฉีด ในขณะที่คนผิวดำจะมักใช้การสูดหรือ “smoking” มากกว่า ซึ่งวิธีการใช้ยานี้ไม่ได้เป็นแค่พฤติกรรมส่วนบุคคล แต่สะท้อน ประวัติศาสตร์ของการเหยียดเชื้อชาติและอคติทางสังคม ที่หล่อหลอมให้พวกเขามีรูปแบบพฤติกรรมแตกต่างกัน แนวคิดนี้ Bourgois และ Schonberg คิดขึ้นมาเอง เพื่ออธิบายว่า แม้คนไร้บ้านจะอยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน แต่พวกเขายังคงมีการแบ่งแยกทางเชื้อชาติอย่างลึกซึ้ง ในชุมชนคนไร้บ้าน คนผิวขาวมักใช้เฮโรอีนโดยการฉีด คนผิวดำมักใช้โคเคนและสูบ crack มากกว่า โดยวิธีการใช้ยาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่เป็นผลลัพธ์ของประวัติศาสตร์การเหยียดเชื้อชาติและความแตกต่างทางเศรษฐกิจ 4. Ethnographic Realism (ความสมจริงเชิงชาติพันธุ์วรรณนา) Philippe Bourgois & Jeffrey Schonberg ได้ใช้ภาพถ่ายจริง เพื่อแสดงให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนไร้บ้านที่ใช้ยาเสพติด นอกจากนี้ตัวผู้เขียนเองยังมีประสบการณ์ร่วมกับกลุ่มตัวอย่าง เช่น นอนตามข้างถนนหรือที่พักพิง และใช้เวลากับพวกเขาในระยะยาว ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือที่น่าสนใจเช่น เรื่องราวชีวิตของ “Hogan” และ “Carter” โดย Hogan เป็นคนไร้บ้านผิวขาวที่ติดเฮโรอีนและต้องพยายามหาเงินมาซื้อยาโดยเก็บขวดพลาสติกไปขาย หรือชีวิต Carter เป็นคนผิวดำที่เคยทำงานเป็นพนักงานขับรถ แต่หลังจากสูญเสียงาน เขาก็เริ่มใช้ยาและต้องพึ่งพาการทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ถือของให้คนอื่นเพื่อขอเศษเงิน 2. การใช้เฮโรอีนเป็นการ “รักษาตัวเอง” (Self-Medication) ดังเช่น คนไร้บ้านบางคนใช้เฮโรอีนเพื่อลดความเจ็บปวดจากปัญหาสุขภาพ เช่น โรคข้ออักเสบ หรือเพื่อช่วยให้นอนหลับในคืนที่อากาศหนาว หรือคนที่เคยถูกทารุณกรรมทางร่างกายหรือจิตใจในอดีต มักใช้เฮโรอีนเพื่อบรรเทาความทุกข์ 3. ผลกระทบจากนโยบายของรัฐ ดังเช่น การกวาดล้างพื้นที่คนไร้บ้านในซานฟรานซิสโก ทำให้พวกเขาต้อง ย้ายที่อยู่บ่อยๆ และทำให้การดูแลทางการแพทย์และการรักษายิ่งยากขึ้นหรือนโยบายต่อต้านยาเสพติดส่งผลให้การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันยังคงเป็นปัญหา เพราะคนไร้บ้านไม่สามารถเข้าถึงเข็มสะอาดได้ ผมมองว่าหนังสือ Righteous Dopefiend เป็นหนังสือที่ท้าทายแนวคิดแบบเดิมที่มองว่าการเสพติดเป็นเพียงพฤติกรรมส่วนบุคคลหรือความล้มเหลวทางศีลธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจและนโยบายทางสังคมมีบทบาทสำคัญในการผลักให้คนกลุ่มหนึ่งติดอยู่ในวงจรของความยากจนและการใช้สารเสพติด งานชิ้นนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของ มานุษยวิทยาการแพทย์ และ มานุษยวิทยาสังคม ที่ศึกษาเรื่องยาเสพติดในเชิง ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือที่น่าสนใจ เช่น 1. วิธีการหาเงินเพื่อซื้อยา โดยคนไร้บ้านที่ใช้ยาในกลุ่มตัวอย่างมักหาเงินโดยเก็บขวดพลาสติกไปขายขโมยของจากร้านค้าและนำไปขาย หรือทำงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ เช่น แบกของให้คนอื่น รวมถึงบางคนถึงขั้นต้อง บริจาคเลือด หรือทำร้ายตัวเองเพื่อให้ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ 2. ปัญหาการเข้าถึงเข็มสะอาดและโรคติดต่อที่เชื่อม โยงกับนโยบายต่อต้านยาเสพติดของรัฐทำให้คนไร้บ้านเข้าถึงเข็มฉีดยาสะอาดได้ยาก ส่งผลให้เกิดการใช้เข็มร่วมกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการแพร่กระจายของโรค HIV และ Hepatitis C ) Philippe Bourgois & Jeffrey Schonberg เสนอว่า รัฐควรจัดหาเข็มสะอาดให้ฟรีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค แทนที่จะเน้นการลงโทษ 3. ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนไร้บ้าน โดยคนไร้บ้านจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรม มีการข่มขืนและทำร้ายร่างกายกันเอง เพราะชีวิตบนท้องถนนเต็มไปด้วยความรุนแรง ทำให้คนในชุมชนมักต้องพึ่งพา “ครอบครัวเลือก” (fictive kinship) เพื่อความอยู่รอด เช่น การแบ่งปันอาหาร ยาเสพติด และที่พักอาศัยกัน 4. ผลกระทบของนโยบายรัฐ ในเมืองซานฟรานซิสโกมีกฎหมายห้ามนอนในที่สาธารณะ (anti-homeless ordinances) เมื่อตำรวจไล่กวาดล้างคนไร้บ้าน พวกเขาต้องย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งตลอดเวลา ทำให้การดูแลสุขภาพยิ่งเป็นไปได้ยาก ทำให้คนที่เคยได้รับยาบำบัด เช่น methadone มักถูกบังคับให้หยุดการรักษาเพราะไม่มีที่อยู่แน่นอน ข้อสรุปสำคัญของหนังสือเล่มนี้ที่มองเห็นคือ 1. การเสพติดไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคล แต่เป็นผลพวงจากโครงสร้างทางสังคม เนื่องจากคนไร้บ้านไม่ได้เลือกที่จะติดยาเพราะ “อ่อนแอ” หรือ “ไร้ศีลธรรม” แต่พวกเขาถูกผลักให้อยู่ในสถานการณ์ที่การใช้ยาเป็นทางเลือกเดียวของการรับมือกับชีวิตที่ยากลำบาก 2. นโยบายของรัฐมักทำให้ปัญหาแย่ลง โดยเฉพาะการใช้แนวทาง criminalization (ทำให้การเสพติดเป็นอาชญากรรม) ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่กลับทำให้คนที่ใช้ยาต้องตกอยู่ในวงจรของความยากจนและการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง 3. การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม ) Philippe Bourgois & Jeffrey Schonberg เสนอว่า รัฐควรมีโครงการแจกเข็มสะอาด ที่พักพิงสำหรับคนไร้บ้าน และโปรแกรมช่วยฟื้นฟูที่คำนึงถึงปัจจัยทางสังคม มากกว่าการใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวด งานชิ้นนี้ถือเป็นงานชาติพันธุ์วรรณนาที่ ให้เสียงกับกลุ่มคนที่มักถูกมองข้ามในสังคม ) Philippe Bourgois & Jeffrey Schonberg นำเสนอหลักฐานที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า การเสพติดไม่ใช่เพียงปัญหาส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้วิธีการวิจัย photo-ethnography ซึ่งผสมผสานภาพถ่ายและเรื่องราวของกลุ่มคนไร้บ้าน ทำให้เนื้อหาทรงพลังและสะเทือนอารมณ์ให้ผู้อ่านอย่างมาก …ลองอ่านดูนะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...