ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ร่างกายกับสื่อ มานุษยวิทยาว่าด้วยภาพ( Anthropology of Image) โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผมชอบหนังสือชื่อ Anthropology of Images: Picture, Medium, Body เขียนโดย Hans Belting ในช่วงปี 2011 ที่มีประเด็นเกี่ยวกับมานุษยวิทยาภาพ (Anthropology of Images), ทฤษฎีสื่อ, ศิลปะและวัฒนธรรม ในหนังสือ Anthropology of Images ของ Hans Belting ได้สำรวจแนวคิดเกี่ยวกับ “ภาพ” (image) ที่ไม่ใช่แค่ในฐานะวัตถุทางศิลปะ แต่ในฐานะที่มันเป็นสื่อที่สะท้อนถึงร่างกาย วัฒนธรรม และมโนทัศน์ทางสังคม Belting ตั้งคำถามว่า “ภาพคืออะไร?”, “ภาพมีอยู่ก่อนสื่อ หรือสื่อเป็นตัวสร้างภาพ?”, และ “ร่างกายของเรามีบทบาทอย่างไรในการรับรู้และสร้างความหมายของภาพ?” แนวคิดสำคัญที่ผมคิดว่าน่าสนใจในงานของเขาคือ 1. ภาพไม่ได้เป็นเพียงวัตถุ แต่เป็นกระบวนการทางวัฒนธรรม โดย Hans Belting เสนอว่า “ภาพ” (image) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวัตถุที่จับต้องได้ เช่น ภาพวาด รูปถ่าย หรือรูปปั้น แต่ยังรวมถึงภาพที่ปรากฏในความคิดและจินตนาการของเราด้วยเช่นกัน ดังนั้นภาพไม่ได้มีอยู่แค่ในตัวมันเอง แต่ต้องอาศัย สื่อ (medium) และ ร่างกายของมนุษย์ (body) ในการสร้างและรับรู้ 2. ความสัมพันธ์ระหว่าง “ภาพ – สื่อ – ร่างกาย” โดย Belting อธิบายว่า “ภาพ” มีความสัมพันธ์สามมิติ ระหว่าง 1.ภาพ (Image) คือสิ่งที่ถูกมองเห็นหรือจินตนาการ 2.สื่อ (Medium) คือสิ่งที่ทำให้ภาพปรากฏ เช่น ผ้าใบ จอภาพ หรือแม้แต่สมองของเรา 3.ร่างกาย (Body) คือสถานที่ที่ภาพถูกรับรู้และถูกสร้างความหมาย เช่น การเห็นด้วยตา การจินตนาการในสมอง หรือการแสดงออกผ่านร่างกาย ตัวอย่างเช่น ในศิลปะทางศาสนา ภาพพระพุทธเจ้าในจิตรกรรมฝาผนังไม่ใช่แค่ “รูปวาด” แต่เป็นสิ่งที่ถูกจินตนาการให้มีพลังทางจิตวิญญาณ ซึ่งต้องอาศัยทั้งสื่อ (เช่น สีและพื้นผนังที่ดูเข้มขลัง บริสุทธิ์สะอาด) และร่างกายของผู้ศรัทธาที่มองเห็นและศรัทธา ดังที่ Hans Belting บอกว่า “Images exist between the body and the medium.” (ภาพดำรงอยู่ระหว่างร่างกายและสื่อ) ซึ่งภาพจะไม่มีอยู่ได้ถ้าไม่มี “สื่อ” (medium) เช่น กระดาษ ผ้าใบ จอภาพ หรือแม้แต่ผิวหนัง ตัวอย่างเช่น รอยสัก เป็นภาพที่อยู่บนร่างกายและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แตกต่างจากภาพบนกระดาษที่อยู่นิ่งไม่เปลี่ยนแปลง หรือ ภาพสะท้อนในกระจก ที่ไม่มีตัวตนจริง แต่มีอยู่เพราะปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและสื่อ (กระจก) ที่ทำให้ภาพของเราปรากฏบนพื้นผิวของกระจก หาใช่ผิวหนังจริงๆของเราไม่ 3. ภาพและร่างกายในประวัติศาสตร์ ในอดีต ภาพและร่างกายมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น เช่น ในพิธีกรรมโบราณ ภาพมักถูกใช้เป็นตัวแทนของวิญญาณ หรือสะท้อนความเชื่อมโยงกับอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่ในยุคปัจจุบัน ภาพถ่ายและภาพดิจิทัลได้เปลี่ยนความหมายของภาพไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมันสามารถถูกทำซ้ำและแก้ไขได้อยู่ตลอดเวลา ดังที่ Hans Belting บอกว่า The body is the first medium of images.” (ร่างกายคือสื่อแรกของภาพ) โดย Belting ชี้ว่า ร่างกายมนุษย์เป็น “เครื่องผลิตภาพ” (image-producing machine) ในยุคก่อนจะมีศิลปะหรือเทคโนโลยีใด ๆ มนุษย์สามารถสร้างภาพในจินตนาการ หรือเห็นภาพในความฝันได้ ตัวอย่างเช่น ศิลปะบนผนังถ้ำยุคก่อนประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์โบราณใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางในการสร้างและถ่ายทอดภาพ เช่น การพ่นสีรอบมือเพื่อสร้างเงาบนผนังถ้ำและกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ในยุคปัจจุบัน 4. ภาพในร่างกาย: ภาพฝังอยู่ในตัวเรา โดย Belting เสนอแนวคิดที่น่าสนใจว่า “ร่างกายของเราคือแหล่งกำเนิดของภาพ หรือโรงงานผลิตภาพ” (The body is an image factory) ตัวอย่างเช่น เมื่อเราหลับตา เราสามารถ “เห็น” ภาพในจินตนาการ หรือความทรงจำของเราสร้าง “ภาพในอดีต” ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อเราจนถึงปัจจุบัน Hans Belting กล่าวว่า “Images can exist without a physical form.” “ภาพสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่มีรูปแบบทางกายภาพ” โดย ไม่ใช่ทุกภาพที่ต้องมีตัวตนทางกายภาพ บางภาพสามารถดำรงอยู่ในจิตใจและความทรงจำ ตัวอย่างเช่น ภาพของคนที่เรารัก แม้จะไม่มีรูปถ่าย เราก็สามารถจินตนาการใบหน้าของพวกเขาได้ชัดเจนเสมอ หรือ ภาพในความฝัน ซึ่งไม่มีตัวตนในโลกจริง แต่มีพลังทางจิตใจมหาศาล 5. สื่อมีบทบาทในการสร้างและเปลี่ยนแปลงความหมายของภาพ โดยภาพเดียวกันอาจมีความหมายต่างกันเมื่อปรากฏในสื่อต่างๆ เช่นงานภาพวาดพระเยซูในโบสถ์ยุคกลางดูมีความขลังมีความศักดิ์สิทธิ์มแต่ภาพเดียวกันถูกนำมาพิมพ์ในนิตยสารหรือแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดีย มันอาจสูญเสียอำนาจทางศาสนา ตัวอย่างในปัจจุบัน เช่น การใช้ Deepfake และ AI-generated Images ทำให้เกิดคำถามใหม่เกี่ยวกับความจริงและความหมายของภาพ ความสมจริง และความเข้มขลังเก่าแก่ของภาพที่ดูลดลง แต่แทนที่ด้วยสีที่สดใสและเคลื่อนไหวได้ราวกับตัวการ์ตูน ดังที่ Hans Belting กล่าวว่า “Media shape how we see images.” (สื่อเป็นตัวกำหนดว่าภาพจะถูกมองอย่างไร) โดยสื่อต่างกันทำให้ภาพเดียวกันมีความหมายต่างกัน ตัวอย่างเช่น ภาพพระเยซูในยุคกลางถูกวาดบนกระจกสีของโบสถ์ ซึ่งให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อภาพพระเยซูถูกพิมพ์ลงบนเสื้อยืด มันกลายเป็นวัตถุเชิงพาณิชย์หรือ ภาพถ่ายในยุคดิจิทัล มีความแตกต่างจากภาพวาดในอดีต เพราะสามารถทำซ้ำ แก้ไข และส่งต่อได้ง่าย ดังที่ Belting เสนอว่า ”Digital images challenge the nature of images.” (ภาพดิจิทัลท้าทายแนวคิดดั้งเดิมของภาพ) เนื่องจากภาพดิจิทัลไม่จำเป็นต้องมีต้นฉบับ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น Deepfake และ AI-generated images ทำให้เราไม่สามารถแยกแยะความจริงจากสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นได้ หรือ ภาพโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นภาพตัวแทนของบุคคล แต่สามารถถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอด 6. ภาพกับอำนาจ โดย Hans Belting บอกว่า “The power of images depends on belief and context.” (พลังของภาพขึ้นอยู่กับความเชื่อและบริบท) ภาพเดียวกันอาจมีความหมายต่างกันในแต่ละวัฒนธรรมและช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น ภาพไอคอนทางศาสนา อย่างพระแม่มารีในยุคกลางถูกบูชาในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อถูกนำไปใช้ในงานศิลปะแนววิพากษ์ มันอาจถูกมองว่าเป็นการลบหลู่และทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ได้จากหนังสือที่น่าสนใจอาทิเช่น 1. ภาพและศาสนา ในยุคกลาง ภาพของพระเจ้าและนักบุญไม่ได้เป็นเพียงภาพวาด แต่ถูกมองว่าเป็น “ตัวแทน” ของพลังศักดิ์สิทธิ์ ในบางวัฒนธรรม ภาพวาดดวงตาบนผนังมีไว้เพื่อให้รู้สึกเหมือน “พระเจ้ากำลังเฝ้ามอง” ดูมนุษย์ทุกคนในฐานะลูกหลานของพระเจ้า หรือผู้ถูกควบคุมปกครองโดยพระเจ้า หรือในพิธีกรรมของขนพื้นเมืองบางกลุ่ม เราจะพบภาพกับร่างกาย ที่เชื่อมโยงกับวัตถุบางอย่างเช่น “หน้ากาก”(Mask) ในพิธีกรรมหลายวัฒนธรรม หน้ากาก เป็นเครื่องมือที่ช่วยเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นสื่อของภาพ เช่น หน้ากากของชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริกัน หรือบนพื้นเมืองอินเดียนพื้นเมืองในอเมริกา ไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับ แต่เป็นสื่อที่ทำให้ผู้สวมใส่กลายเป็นวิญญาณหรือเทพเจ้า หรือสื่อกลางระหว่างสิ่งเหนือธรรมชาติได้เช่นเดียวกัน 2. ภาพถ่ายและร่างกาย โดน Belting วิเคราะห์ว่าภาพถ่ายเปลี่ยนความหมายของร่างกายอย่างไร เมื่อเราถ่ายภาพตัวเองและเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย ร่างกายของเราถูกทำให้เป็นภาพ และภาพนั้นสามารถถูกตีความ เปลี่ยนแปลง และแชร์ไปได้โดยไม่สามารถควบคุมได้ว อำนาจเหนือร่างกายเรา ล่องลอยจากตัวเราและถูกครอบครองอำนาจโดยคนอื่น ความหมายของร่างกายเราจึงถูกตีความและจับจ้องโดยคนอื่น การสะท้อนความสัมพันธ์ของภาพกับสื่อ เช่น “ภาพสะท้อนในน้ำ” ที่ปรากฏในตำนานกรีกเรื่อง นาร์ซิสซัส ชายหนุ่มที่หลงรักภาพสะท้อนของตนเองในน้ำ แสดงให้เห็นว่าภาพสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่มีตัวตนทางกายภาพมารองรับ 3. ภาพในยุคดิจิทัล Belting วิเคราะห์ว่าอินเทอร์เน็ตทำให้ภาพถูกสร้างและทำซ้ำอย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อภาพไม่จำเป็นต้องมีสถานะของ “ต้นฉบับ” (original) อีกต่อไป ภาพในยุคดิจิทัลจึงมีสถานะที่แตกต่างจากภาพในยุคอดีต ความสัมพันธ์ระหว่งานภาพกับเทคโนโลยี เช่น “ภาพถ่ายวิญญาณ” ในศตวรรษที่ 19 มีการถ่าย ภาพวิญญาณ ซึ่งผู้คนเชื่อว่ากล้องสามารถจับภาพของดวงวิญญาณได้ แม้ว่าภาพเหล่านั้นจะเป็นเทคนิคการตัดต่อ แต่มันแสดงให้เห็นว่าภาพไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เรามองเห็น แต่เป็นสิ่งที่เราเชื่อว่าเห็น และมีอยู่จริงด้วย รวมถึงภาพในโลกดิจิทัลตัวอย่างเช่น “Avatar และ Metaverse” ในยุคปัจจุบัน ที่ปรากฏตัวแทนของเราบนโลกออนไลน์ เช่น Avatar ในเกมหรือ Metaverse ทำให้ร่างกายของเรากลายเป็นภาพที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของการที่ภาพไม่ใช่แค่การสะท้อนโลกจริงอีกต่อไป แต่สามารถสร้าง “ตัวตนใหม่” ได้ในยุคปัจจุบัน ตัวแทนของเราบนโลกออนไลน์ เช่น Avatar ในเกมหรือ Metaverse ทำให้ร่างกายของเรากลายเป็นภาพที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ Hans Belting เสนอว่า ภาพไม่ได้มีอยู่หรือดำรงอยู่แค่ในตัวมันเอง แต่ต้องอาศัยทั้งสื่อและร่างกายในการสร้างและรับรู้ “ภาพ” (image) ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราเห็น แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกาย มนุษย์ และสื่อ ดังที่ Belting ย้ำในหนังสือว่า“Images are not things, but relations.”(ภาพไม่ได้เป็นวัตถุ แต่เป็นความสัมพันธ์) ดังนั้นภาพไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นบนผืนผ้าใบหรือหน้าจอ แต่เป็นผลลัพธ์ของ ความสัมพันธ์ระหว่างภาพ ร่างกาย และสื่อ ตัวอย่างเช่น พระพุทธรูป ในวัด ไม่ใช่แค่รูปปั้นที่มีอยู่ทางกายภาพ แต่เป็น “ภาพ” ที่ทำงานผ่านศรัทธาของผู้คนที่มองเห็นและบูชา หรือ ภาพของผู้นำทางการเมือง ไม่ได้เป็นเพียงภาพถ่าย แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและอุดมการณ์บางอย่างในการเมืองการปกครอง สรุป ภาพไม่ได้เป็นเพียงวัตถุ แต่เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับร่างกายและสื่อ ไม่ว่าจะเป็นภาพในศิลปะ ภาพในจินตนาการ หรือภาพดิจิทัล หนังสือเล่มนี้จึงน่าสนใจในการสำรวจว่าภาพทำงานอย่างไรในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...