ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หนังสือThe Lenses of Gender: Transforming the Debate on Sexual Inequalityของ Sandra Lipsitz โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือThe Lenses of Gender: Transforming the Debate on Sexual Inequality โดย Sandra Lipsitz Bem เป็นหนังสือสำคัญในแวดวงการศึกษาทางด้านเพศและความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดย Bem ได้นำเสนอแนวคิดและเลนส์การมองที่แตกต่างเพื่อทำความเข้าใจการสร้างความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคม หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงวิธีที่สังคมและวัฒนธรรมต่าง ๆ กำหนดบทบาทและอัตลักษณ์ทางเพศ โดยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงสร้างที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม และเสนอแนวทางใหม่ในการมองเรื่องเพศที่ไม่ตกอยู่ในกับดักของกรอบคิดทางสังคมแบบเก่า ๆ โดยเนื้อหาภายในจะเน้นไปที่การวิเคราะห์ความเชื่อทางสังคมที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกเพศ โดยใช้แนวคิดจากทฤษฎีจิตวิทยาและสังคมวิทยา เพื่อลดอคติและนำเสนอวิธีการมองเพศที่หลากหลายมากขึ้น สาระสพคัญในหนังสือ “The Lenses of Gender: Transforming the Debate on Sexual Inequality” Sandra Lipsitz Bem ได้เสนอการใช้ “เลนส์” หรือกรอบความคิดสามประการในการทำความเข้าใจเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคม ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นวิธีที่เพศสภาพถูกสร้างขึ้นมาและคงอยู่ โดยแต่ละเลนส์สะท้อนความคิดทางวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในสังคม: 1. เลนส์ของการแบ่งขั้วทางเพศ (Gender Polarization) แนวคิดทางสังคมมักมองเพศชายและเพศหญิงว่าเป็นสองขั้วตรงข้ามกัน โดยการแบ่งขั้วนี้กำหนดบทบาทและความคาดหวังที่ชัดเจนสำหรับแต่ละเพศ ซึ่งถูกมองว่าเป็นธรรมชาติและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังเช่นตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหลายสังคม เพศชายถูกคาดหวังให้แสดงออกถึงความแข็งแรง อำนาจ และความเป็นผู้นำ ส่วนเพศหญิงถูกคาดหวังให้แสดงออกถึงความอ่อนโยน และการดูแลเอาใจใส่ครอบครัว ทำให้การเบี่ยงเบนจากบทบาทนี้ถูกมองว่าไม่เหมาะสม เช่น ผู้ชายที่เลือกทำงานเป็นพยาบาลอาจถูกวิจารณ์ว่าไม่ “แมน” หรือไม่เหมาะสมกับบทบาทเพศชายที่คาดหวัง 2. เลนส์ของความแตกต่างทางชีววิทยา (Androcentrism) แนวคิดในเลนส์นี้สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับเพศชายเป็นหลัก หรือมองเพศชายเป็นมาตรฐานของมนุษย์ทั่วไป ทำให้ทุกสิ่งถูกมองจากมุมมองของผู้ชาย ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น การวิจัยทางการแพทย์ในอดีตมักทดสอบยาและวิธีการรักษาโดยใช้ตัวอย่างผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่ไม่เหมาะสมเท่ากัน หรือในเรื่องการทำงาน เพศชายมักได้รับการยกย่องในบทบาทผู้นำมากกว่าเพศหญิง 3. เลนส์ของความเป็นนิรันดร์ (Biological Essentialism) แนวคิดนี้มองว่าความแตกต่างทางเพศเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วตามธรรมชาติและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยเพศชายและเพศหญิงถูกมองว่ามีบทบาทและพฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากลักษณะทางชีววิทยา ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น คำกล่าวอ้างว่าเพศหญิงไม่เหมาะสมกับการทำงานในอาชีพที่ต้องใช้ความแข็งแรงทางกาย หรือผู้ชายเหมาะสมกับบทบาททางสังคมที่ต้องใช้เหตุผลและการตัดสินใจมากกว่า เนื่องจากชีววิทยาของพวกเขาถูกมองว่า “สร้าง” มาสำหรับงานประเภทนั้น ๆ สิ่งที่น่าสนใจซึ่ง Sandra Bem ใช้เลนส์ทั้งสามนี้เพื่ออธิบายว่าการแบ่งแยกเพศที่เห็นได้ชัดเจนในหลายวัฒนธรรมไม่ได้เกิดจากธรรมชาติทางชีววิทยาเพียงอย่างเดียว แต่ถูกสร้างขึ้นโดยสังคมและวัฒนธรรมผ่านการแบ่งขั้วทางเพศ การยกย่องเพศชาย และการมองความเป็นชายหญิงในลักษณะนิรันดร์ เธอเสนอว่าการลดความไม่เท่าเทียมทางเพศต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิธีการมองและเข้าใจเรื่องเพศใหม่ โดยต้องท้าทายแนวคิดเก่าและเปิดรับมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น “The Lenses of Gender” ไม่เพียงแต่นำเสนอการวิเคราะห์ปัญหาเชิงทฤษฎีเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้ผู้อ่านปรับเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับบทบาททางเพศในชีวิตประจำวัน นอกจากเลนส์ทั้งสามที่กล่าวถึงแล้ว หนังสือ “The Lenses of Gender: Transforming the Debate on Sexual Inequality” ยังมีประเด็นเพิ่มเติมที่สำคัญที่ช่วยขยายความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศและความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดย Sandra Bem ได้ใช้ประสบการณ์ของตนเองในฐานะนักจิตวิทยาและนักสตรีนิยมเพื่อนำเสนอทฤษฎีเหล่านี้ ซึ่งประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจในหนังสือ ได้แก่ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจและเพศ Bem ได้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างอำนาจในสังคมและความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดยสังคมมักมองว่าเพศชายมีสิทธิ์และอำนาจที่มากกว่าเพศหญิง เนื่องจากเพศชายถูกสร้างขึ้นให้เป็นผู้มีอำนาจ ขณะที่เพศหญิงถูกมองว่าอยู่ในบทบาทรอง นอกจากนี้ สังคมยังใช้การควบคุมทางเพศเพื่อกำหนดพฤติกรรมของผู้หญิง ทำให้เพศหญิงถูกจำกัดและไม่ได้รับอำนาจในรูปแบบที่เท่าเทียมกัน 2. การวิพากษ์บทบาททางเพศแบบทวิลักษณ์ Sandra Bem ได้วิจารณ์แนวคิดที่มองว่ามีเพียงสองเพศ (ชายและหญิง) และบทบาททางเพศที่ถูกแบ่งออกอย่างชัดเจนว่าเป็นข้อจำกัดและไม่เหมาะสมกับความหลากหลายของประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ เธอเสนอว่าการยึดติดกับบทบาททางเพศแบบทวิลักษณ์ (gender binary) ทำให้เราละเลยการมีอยู่ของบุคคลที่ไม่สอดคล้องกับเพศตามมาตรฐาน เช่น คนที่มีเพศสภาพหลากหลาย หรือกลุ่มคนที่ไม่ระบุเพศ 3. การปรับเปลี่ยนกรอบคิดเรื่องเพศในครอบครัว Sandra Bem ได้ยกตัวอย่างว่าการเลี้ยงดูเด็กโดยอิงบทบาททางเพศแบบเดิม ๆ มีส่วนสำคัญในการสร้างและเสริมสร้างความไม่เท่าเทียมทางเพศตั้งแต่เด็ก เธอเสนอว่าการเลี้ยงดูและการศึกษาเด็กควรปรับเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่บังคับให้เด็กต้องยึดติดกับบทบาททางเพศที่สังคมกำหนด เช่น การให้โอกาสเด็กผู้ชายเล่นของเล่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแล เช่น ตุ๊กตา หรือให้เด็กผู้หญิงได้ลองเล่นกีฬาและกิจกรรมที่ใช้แรง 4. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการต่อสู้กับความไม่เท่าเทียม ในหนังสือ Bem ยังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเสนอว่าความไม่เท่าเทียมทางเพศสามารถถูกแก้ไขได้ผ่านการศึกษาและการให้ความรู้ เพื่อท้าทายกรอบคิดแบบเก่าเกี่ยวกับบทบาททางเพศ เธอสนับสนุนให้มีการนำเสนอความรู้และการสนทนาที่เปิดกว้างในประเด็นเพศและความหลากหลายทางเพศในวงกว้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ตระหนักถึงการมีอยู่ของเพศที่หลากหลายและลดทอนความไม่เท่าเทียม 5. การประยุกต์ใช้กับการเคลื่อนไหวทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงนโยบาย Sandra Bem ยังได้ชี้แนะถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่จำเป็นในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมทางเพศมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การผลักดันให้เกิดการเท่าเทียมกันในสถานที่ทำงาน โดยการกำจัดช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศ การออกกฎหมายที่ปกป้องสิทธิของกลุ่มเพศทางเลือก และการสนับสนุนสิทธิสตรีผ่านการพัฒนานโยบายการลาคลอดหรือการดูแลบุตรที่เหมาะสมสำหรับทั้งเพศหญิงและเพศชาย ดังนั้น หนังสือเล่มนี้เป็นการท้าทายต่อกรอบคิดที่ยึดติดกับการสร้างความไม่เท่าเทียมทางเพศ และเสนอแนวทางในการมองเรื่องเพศที่ครอบคลุมความหลากหลายมากขึ้น ผ่านการวิจารณ์ทางวัฒนธรรมและการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...