ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วัฒนธรรมการสะสม มองผ่านแนวคิดWalter Benjamin โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมการสะสม (Collecting Culture) มีหนังสือและนักทฤษฎีที่สำคัญที่วิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้จากมุมมองทางมานุษยวิทยา สังคมวิทยา และจิตวิทยา หนังสือแนะนำที่น่าสนใจเช่น 1. The Cultures of Collecting โดย John Elsner และ Roger Cardinal หนังสือเล่มนี้วิเคราะห์วัฒนธรรมการสะสมจากมุมมองหลากหลาย ทั้งในเชิงสังคม ศิลปะ และจิตวิทยา โดยพูดถึงบทบาทของการสะสมในวัฒนธรรมร่วมสมัย ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของวัตถุที่ถูกสะสม และวิธีที่การสะสมสะท้อนถึงอัตลักษณ์และการสร้างตัวตนของผู้สะสม 2. On Collecting โดย Susan Pearce Pearce วิเคราะห์การสะสมผ่านมุมมองทางมานุษยวิทยาและพิพิธภัณฑ์วิทยา โดยเน้นว่าการสะสมเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม ความทรงจำ และการสร้างความหมายในสังคม การสะสมไม่เพียงเป็นการรวบรวมวัตถุ แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงการจัดลำดับความสำคัญและค่านิยมทางวัฒนธรรม 3. Collecting: An Unruly Passion โดย Werner Muensterberger หนังสือเล่มนี้เน้นการวิเคราะห์ทางจิตวิทยาของการสะสม โดยอธิบายว่าการสะสมเป็นผลมาจากความต้องการเชิงจิตวิทยาและความพึงพอใจส่วนบุคคล โดยเฉพาะความรู้สึกทางอารมณ์และการสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัว 4. The Social Life of Things: Commodities in Cultural Perspective โดย Arjun Appadurai หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นที่การวิเคราะห์บทบาทของวัตถุที่ถูกสะสมในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม โดยพูดถึงว่าการสะสมวัตถุเป็นการสร้างและเปลี่ยนความหมายของวัตถุเหล่านั้นผ่านการเคลื่อนไหวในบริบทต่าง ๆ ของชีวิตทางสังคม นักทฤษฎีทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่สำคัญที่เชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องวัตถุและการสะสมเช่น 1. Jean Baudrillard Baudrillard วิพากษ์วิจารณ์การสะสมในฐานะที่เป็นกระบวนการที่สะท้อนถึงสังคมบริโภคนิยมและการใช้วัตถุเพื่อสร้างอัตลักษณ์ เขาอธิบายว่าการสะสมเป็นรูปแบบหนึ่งของ "การบริโภค" ที่เน้นการสร้างความหมายทางสังคมและแสดงออกถึงสถานะของบุคคลในสังคม 2. Walter Benjamin Benjamin วิเคราะห์การสะสมในบริบทของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะในแง่ของการเก็บรักษาและการสร้างความทรงจำ เขาเชื่อว่าการสะสมเป็นการตอบสนองต่อความรู้สึกของเวลาและประวัติศาสตร์ ซึ่งวัตถุที่ถูกสะสมสะท้อนถึงเรื่องราวและอดีตที่เกี่ยวข้องกับผู้สะสม 3. Pierre Bourdieu Bourdieu พูดถึงการสะสมในบริบทของทุนทางวัฒนธรรม โดยอธิบายว่าการสะสมวัตถุหรือศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างทุนทางสังคมและแสดงออกถึงสถานะของบุคคลในโครงสร้างชนชั้น การสะสมช่วยสร้างอัตลักษณ์และความแตกต่างระหว่างกลุ่มชนชั้นต่าง ๆ แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมการสะสม การสะสมเป็นการกระทำที่เชื่อมโยงกับการสร้างอัตลักษณ์ ความหมายทางสังคม และความทรงจำส่วนตัว ผู้สะสมใช้วัตถุในการสร้างตัวตนหรือแสดงสถานะในสังคม นอกจากนี้การสะสมยังเป็นวิธีการสร้างความทรงจำทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงการให้คุณค่าและความสำคัญกับวัตถุบางอย่าง หนึ่งในนักคิดที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการวิเคราะห์ปรากฏการณ์การสะสมคือ Walter Benjamin ซึ่งวิเคราะห์การสะสมในบริบทของวัฒนธรรม ความทรงจำ และประวัติศาสตร์ งานเขียนของเขามีความลึกซึ้งในแง่ของการเชื่อมโยงวัตถุที่ถูกสะสมเข้ากับประสบการณ์และการรับรู้ทางสังคมของบุคคล หนังสือแนะนำของ Walter Benjamin: 1. The Arcades Project หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่สำคัญและซับซ้อนที่สุดของ Benjamin โดยเน้นการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสังคมปารีสในศตวรรษที่ 19 ผ่านการสะสมข้อมูลในเรื่องของห้างสรรพสินค้า (Arcades) เขาใช้สถานที่เหล่านี้ในการวิเคราะห์กระบวนการบริโภค ความทรงจำทางวัฒนธรรม และวิธีที่วัตถุหรือสิ่งของถูกใช้ในการสร้างความหมายในสังคม 2. Illuminations เล่มนี้เป็นการรวบรวมบทความที่สำคัญของ Benjamin หนึ่งในบทความที่เกี่ยวข้องกับการสะสมมากที่สุดคือ"Unpacking My Library: A Talk about Book Collecting" ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเขาในการเป็นนักสะสมหนังสือ Benjamin อธิบายความสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างนักสะสมกับวัตถุที่ถูกสะสม และการที่วัตถุเหล่านั้นมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งกว่าคุณค่าเชิงเศรษฐกิจ 3. Berlin Childhood Around 1900 เป็นงานเขียนที่สะท้อนความทรงจำในวัยเด็กของ Benjamin ซึ่งบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในวัยเด็ก การสะสมวัตถุในที่นี้เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาความทรงจำและการสร้างตัวตนผ่านความทรงจำของวัตถุในอดีต แนวคิดของ Walter Benjamin ในการวิเคราะห์เรื่องการสะสม: 1. ความทรงจำและการเก็บรักษา (Memory and Preservation)* Benjamin มองว่าการสะสมเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกับความทรงจำ โดยการสะสมวัตถุไม่ใช่เพียงการเก็บรวบรวมสิ่งของ แต่ยังเป็นการสร้างความหมายเชิงประวัติศาสตร์และการเก็บรักษาความทรงจำ วัตถุที่ถูกสะสมมีความสามารถในการเป็น “พาหะ” ของประวัติศาสตร์และเรื่องราวส่วนตัว การสะสมจึงไม่เพียงแค่เป็นการรักษาวัตถุ แต่ยังเป็นการรักษาความรู้สึกและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุเหล่านั้น 2. การสร้างอัตลักษณ์ผ่านการสะสม (Identity Construction through Collecting) Benjamin มองว่าการสะสมเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างอัตลักษณ์ของบุคคล โดยนักสะสมมักจะเชื่อมโยงวัตถุที่พวกเขาสะสมกับตัวตนและประสบการณ์ชีวิต การสะสมเป็นการสร้างความเป็นเจ้าของไม่ใช่แค่กับวัตถุเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงกับเรื่องราวและคุณค่าที่วัตถุเหล่านั้นมีต่อชีวิตของผู้สะสม 3. Aura ของวัตถุ (Aura of the Object) หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญของ Benjamin คือแนวคิดเรื่อง "Aura" ซึ่งหมายถึงความเป็นเอกลักษณ์และพลังพิเศษของวัตถุแต่ละชิ้นในบริบทดั้งเดิม การสะสมวัตถุทำให้วัตถุเหล่านั้นยังคงรักษา Auraไว้ โดยเฉพาะเมื่อวัตถุนั้นมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์หรือความทรงจำส่วนตัวของผู้สะสม ในสังคมทุนนิยมที่วัตถุถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง การสะสมวัตถุที่หายากหรือมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สามารถทำให้ผู้สะสมรู้สึกถึงความพิเศษและการเชื่อมต่อกับอดีต 4. การวิพากษ์การบริโภคนิยม (Critique of Consumerism) Benjamin มองว่าการสะสมสามารถเป็นการตอบโต้กับสังคมบริโภคนิยมที่เน้นการใช้จ่ายและการบริโภคอย่างไร้ความหมาย การสะสมเป็นวิธีหนึ่งในการให้คุณค่าใหม่กับวัตถุ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ความสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นความสำคัญทางอารมณ์และจิตวิญญาณ สรุป Walter Benjamin เสนอว่าการสะสมเป็นกระบวนการที่ลึกซึ้งและเกี่ยวข้องกับความทรงจำ การสร้างอัตลักษณ์ และการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ วัตถุที่ถูกสะสมไม่ใช่เพียงแค่สิ่งของ แต่ยังเป็นตัวแทนของเรื่องราวและอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตของผู้สะสม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...