ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดเรื่องปฏิบัติการ ของ Sherry Ortner โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Sherry Ortner เชื่ออะไร มองชีวิตมนุษย์ในสังคมอย่างไร Ortner เชื่อในแบบแผน กฏเกณฑ์และบรรทัดฐานที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์หรือเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ ความคิดของเธอสะท้อนอิทธิพลของวิธีคิดแบบมาร์กซิสต์ที่มีต่องานของเธอ ที่เชื่อว่าปฏิสัมพันธ์ของผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของปฎิสัมพันธ์เชิงอำนาจและการครอบงำทางสังคม ปฎิบัติการในชีวิตประจำวันจึงแฝงไปด้วยแบบแผนการปฏิบัติการให้คุณค่าที่ผูกโยงกับระเบียบทางสังคม เพื่อนำไปสู่การพิจารณาและการให้ความหมายทางวัฒนธรรมของผู้คน ... ในงานของOrtner (2006)ชื่อ Anthropology and social theory :Culture,Power and the acting subject.เธออธิบายความเป็นอัตวิสัย (subjectivity) กับ การปฎิบัติทางสังคม (social practice) เธอบรรยาย social action ไม่ใช่ทั้งสิ่งมีชีวิตผู้ถูกกดหนดและผู้กระทำการที่อิสระ ภายนอกขอบเขตของระบบสังคม แต่พวกเขาเป็นบุคึลที่ถูกทำให้เชื่อมโยงหรือทำให้สามารถโดยกฏเกณฑ์ทางสังคมของพวกเขา... เอเจนซี่ในความคิดของเธอไม่ใช่สิ่งที่ถูกใช้อย่างอิสระภายใต้เจตจำนงที่เสรี(free will) แต่เป็นรูปแบบของการสะท้อนย้อนคิด(reflexive)และกิจกรรมทางสังคมที่มีความรู้สึก (feeling social activity) ภายใต้การเป็นผู้วางยุทธศาสตร์ของผู้กระทำการทางสังคม ที่ปะทะกับโลกที่พวกเขารับรู้ และความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆรอบตัว.. ทฤษฎีเกี่ยวกับปฏิบัติการ (theory of practice) ของปิแอร์ บูดิเยอร์และแอนโทนี่กิดเด้น มีข้อจำกัดในความสามารถที่จะอธิบายเกี่ยวกับการทำงานของอำนาจที่ก้าวผ่านไปสู่เรื่องวัฒนธรรมด้วย เนื่องจากลักษณะที่ไร้ประวัติศาสตร์(ahistorical) และทฤษฎีดังกล่าวก็ไม่เคยเน้นย้ำไปสู่เรื่องของตำแหน่งแห่งที่ของจุดกำเนิดหรือที่มาของผู้กระทำการที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในบริบทเชิงประวัติศาสตร์... Ortner จึงให้ความสำคัญกับความซับซ้อนเชิงประวัติศาสตร์แห่งภาวะอัตวิสัย การเมืองและการปฎิบัติ (the historical complexity of subjectivity,political and practice)... Ortner ต้องการให้ทฤษฎีเรื่องผู้กระทำการของเธอยึดโยงกับผู้คนที่มีความคิด มีความรู้สึก ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์และภายใต้ความเป็นไปได้ในวิถีทางที่ถูกจำกัด ในปฎิบัติการของการถูกครอบงำและยุทธศาสตร์ของความเป็นผู้กระทำการไปพร้อมกัน เกมคือรูปแบบหรือแบบแผน เป็นกิจกรรมที่ดำเนินอย่างตั้งใจ ภายใต้สคริปต์หรือตัวบททางวัฒนธรรม (cultural script) ที่ถูกดำเนินการโดยปัจเจกบุคคล ในวิถีทางที่เต็มไปด้วยเป้าหมาย วัฒนธรรมอาจจะกำหนดสิ่งที่คนจะต้องทำเช่น ต้องเรียนหนังสือ ต้องมีการศึกษา แต่ตัวองค์ประธานผู้กระทำการ(acting subject) สามารถตัดสินใจว่าจะทำมันอย่างไร เช่น ต้องศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เป็นต้น ตัวผู้กระทำการที่เล่น serious games ไม่ใช่ผู้กระทำการที่อิสระแต่ค่อนข้างจะเป็นใครบางคนที่เลือกหยิบตัวบททางวัฒนธรรมและตัดสินใจว่าจะเล่นกับเกมนั้นอย่างไร ผู้กระทำการจึงไม่ใช่ผู้รองรับกับการถูกกระทำ หรือเป็นคนที่มีบทบาทในการตัดสินใจเริ่มแรกของเกม แต่ผู้กระทำการคือผู้มีส่วนร่วมในยุทธศาสตร์ของชีวิตทางสังคม(social life) กฏเกณฑ์ทางสังคมจึงเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับสิ่งที่Ortner กล่าว่า มันคือผลผลิตของคนหลายๆคนที่เล่นอยู่ในserious game ในช่วงเวลาเดียวกัน บ่อยครั้งก็อาจขัดแย้งกับคนอื่นๆ พวกเขาดิ้นรนต่อสู้เพื่อนำไปสู่ชัยชนะในเกมของพวกเขา ภายใต้พื้นที่ที่จำกัด พวกเขาสามารถค้นพบแนวการเล่นและพยายามใช้เกมของพวกเขาเพื่อสร้างพื้นที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับการกระทำในอนาคต... สิ่งเหล่านี้คือปฎิบัติการที่นำไปสู่เป้าหมายภายใต้โลกของการบีบบังคับควบคุมมันคือการใช้อำนาจเชิงยุทธศาสตร์ในชีวิตประจำวัน ของการเคลื่อนไหวที่คิดคำนวณที่พยายามจัดวางปัจเจกบุคคลไปสู่วัฒนธรรมและการสร้างอิสระเสรีภาพของปัจเจกบุคคลจากมันด้วยเช่นกัน... Ortnerใช้คำว่า intentionality (สัมพันธ์กับเรื่องcognitive และemotionalที่นำไปสู่เป้าหมายบางอย่าง) ที่เกี่ยวโยงกับอำนาจของความคิดและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับความตั้งใจเจตนา เป็นร่างของความสำนึก อุดมคติ อุดมการณ์ เป้าหมาย เป้าประสงค์ ความต้องการหรือความปรารถนาที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง ที่นำไปสู่การพูด การคิด การกระทำเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ บางครั้งเธอเชื่อมโยงกับคำว่าโครงการ(project) และการตัดสินใจ(determinism) ที่เกี่ยวข้องกับการแสดง(drama) การเข้าไปอยู่ในเกม...ซึ่งคนที่อยู่ในเกมจะต้องเล่นไปตามกฏที่วางไว้อย่างไร แต่พวกเขาสามารถวางแผนหรือวางกลยุทธ์ในเกมนี้ ตัวผู้กระทำการจึงเป็นส่วนหนึ่งของproject ใหญ่ที่เรียกว่าserious game... ดังนั้น intentionality มีลักษณะของกระบวนการ (process) มันคือลักษณะเชิงกิจวัตรประจำวันในการปฏิบัติการหรือดำเนินการของมนุษย์ เป็นการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของมนุษย์เช่นเดียวกับผู้กระทำการที่สามารถยอมรับกับตำแหน่งแห่งที่นั้นได้...ภายใต้การพิจารณาเกี่ยวกับปฎิบัติการในชีวิตประจำวัน (routine practice) ในด้านหนึ่ง กับอีกด้านหนึ่งคือภาวะการมีเอเจนซี่หรือความเป็นผู้กระทำการที่สามารถทำให้มองเห็นการกระทำการที่ตั้งใจหรือปรารถนาในด้านอื่นๆของมนุษย์ (internalized action)เช่นเดียวกัน Self คือสิ่งมีชีวิตทางสังคมที่ถูกให้อำนาจ(Ortner,1996) หรือความสามารถของปัจเจกบุคคลที่เชื่อมโยงกับมิติทางสังคมวัฒนธรรมที่นำไปสู่การกระทำ... ผู้กระทำการที่มีอำนาจ(ไม่เท่าเทียมกัน)จึงมีลักษณะทั้งการครอบงำและการต่อต้าน ภายใต้ความตั้งใจ เป้าหมายและความปรารถนาที่ถูกจัดวางในแนวทางของโครงการ(project) ที่ถูกก่อร่างด้วยเงื่อนไขทางวัฒนธรรม นี่คือผู้กระทำการแห่งโครงการที่มีจุดยืนแน่นอนบนมิติพื้นฐานของความคิดผู้กระทำการ ดังนั้นอำนาจ(power)และโครงการ(project) จึงสะท้อนอยู่ที่ตัวผู้กระทำการ(Agency) ภายใต้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อน ในความสัมพันธ์ทางอำนาจและความสัมพันธ์ของอัตวิสัยของผู้กระทำการทางสังคม(the subjectivity of social actor) เพื่อแสดงเป้าหมายบางอย่างนี่คือความสัมพันธ์ของ internality และ Agency ในมิติของserious game... ดังนั้นวัฒนธรรมมันลื่นไหลหลากหลาย (cultural varieble) มากกว่าที่จะเป็นสากล ในขณะที่ภาวะอัตวิสัย (subjectivity) ของมนุษย์ผู้กระทำการก็มีความซับซ้อน(ที่มากกว่าเหตุผลที่เป็นข้อกำหนดพื้นฐานและผลประโยชน์ส่วนตัว) คุณูปการสำคัญที่เห็นได้จากแนวคิดนี้คือ การทำให้ปรากฏของการเมืองในระดับจุลภาค(micro-politic)ที่เขื่อมโยงกับการทำความเข้าใจพลังอำนาจของสิ่งที่ใหญ่กว่าที่นำไปสู่การก่อรูป และการเปลี่ยนแปลงชีวิตทางสังคมของมนุษย์ การวิเคราะห์สังคมวัฒนธรรมในเรื่อง serious game ของOrtner ก็คือการเริ่มต้นไปหาการก่อรูปของสิ่งที่ใหญ่กว่า(โครงสร้าง) และพยายามถอยหลังกลับไปยังพื้นฐานของเกมที่เข้มข้นจริงจังของชีวิตมนุษย์..ผมชอบงานที่ศึกษาเรื่องคน มองเห็นความเป็นผู้กระทำการ ตัวตนเชิงอัตวิสัย มองเห็นโครงสร้าง และความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เขื่อมโยงกับบริบททางประวัติศาสตร์
****อ้างอิงและอ่านงานของ Sherry Ortner ที่เชื่อมโยงกับแนวคิดข้างต้นได้ตามรายชื่อด้านล่าง Forthcoming: Serious Games: Rethinking Practice Theory. Duke University Press. 2003. New Jersey Dreaming: Capital, Culture, and the Class of E8. Duke University Press 1999 Life and Death on Mount Everest: Sherpas and Himalayan Mountaineering. Princeton University Press. 1999(ed.) The Fate of CultureE Geertz and Beyond. University of California Press. 1996 Making Gender: The Politics and Erotics of Culture. Beacon Press. 1994 Culture/Power/History: A Reader in Contemporary Social Theory (co-edited with N.B. Dirks and G. Eley), Princeton University Press. 1989 High Religion: A Cultural and Political History of Sherpa Buddhism. Princeton University Press. 1981 Sexual Meanings: The Cultural Construction of Gender and Sexuality (co-edited with Harriet Whitehead), Cambridge University Press. 1978 Sherpas through their Rituals. Cambridge University Press.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...