ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน (Rites of Passage) ของ Arnold. Van Gennep โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Arnold Van Gennep เป็นนักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงจากการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับ พิธีกรรมการเปลี่ยนผ่าน (Rites of Passage) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลงานสำคัญของเขา โดยในงานของเขา Les Rites de Passage (1909) Van Gennep ได้เสนอกรอบทฤษฎีที่ช่วยให้เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของมนุษย์ผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม
สาระสำคัญและแนวคิดหลักของ Arnold Van Gennep มีดังนี้ 1. แนวคิดพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่าน (Rites of Passage) นั้น Van Gennep ได้อธิบายว่าพิธีกรรมหลายอย่างในสังคมมนุษย์เป็นการแสดงออกถึงการเปลี่ยนสถานะของบุคคลในสังคม จากสภาวะหนึ่งไปยังสภาวะใหม่ เช่น การเปลี่ยนจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ หรือจากการเป็นคนโสดไปเป็นผู้แต่งงาน เขาแบ่งพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1. 1 Separation (การแยกตัว) การแยกออกจากสถานะหรือสภาพเดิม เช่น การแยกออกจากครอบครัวในพิธีแต่งงาน หรือพิธีบวช เป็นต้น 1.2. Transition (การเปลี่ยนผ่าน) ช่วงเวลาที่บุคคลอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านสถานะ โดยมักจะมีความไม่แน่นอนและอยู่ในสถานะที่ยังไม่ชัดเจน เช่น ช่วงระหว่างการฝึกในพิธีกรรมของการบวช หรือช่วงระหว่างการเฉลิมฉลองแต่งงาน 1.3. Incorporation (การผสานกลับสู่สังคม) การเข้าสู่สถานะใหม่หลังจากการผ่านพิธีกรรม เช่น การกลับมาสู่ชุมชนในฐานะผู้ใหญ่ที่ผ่านการฝึกฝน หรือคู่สมรสใหม่ที่ได้รับการยอมรับในสังคม 2. แนวคิดเรื่อง สภาวะ Liminal (Liminality) เป็นแนวคิดที่พัฒนาโดย Arnold Van Gennep และต่อมาได้รับการขยายความโดย Victor Turner แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือวัฒนธรรม ซึ่งบุคคลหรือกลุ่มคนอยู่ในสภาวะที่ยังไม่มั่นคงหรือยังไม่ได้รับการยอมรับในสถานะใหม่ คำว่า Liminal มาจากภาษาละตินคำว่า *"limen"* ที่แปลว่า "ธรณีประตู" หรือ "ขอบ" สภาวะนี้หมายถึงการอยู่ในระหว่างสองสถานะ หรือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งบุคคลยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของสถานะเก่าอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับเข้าสู่สถานะใหม่อย่างเต็มตัว ลักษณะสำคัญของสภาวะ Liminal ประกอบด้วย 1. การขาดโครงสร้าง:ในช่วงเวลานี้ บุคคลหรือกลุ่มอยู่ในสถานะที่ไร้โครงสร้างและขอบเขตทางสังคม เช่น ไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เป็นทางการอย่างชัดเจน สถานะนี้อาจนำมาซึ่งความรู้สึกไม่แน่นอนหรือการเปลี่ยนแปลง 2. การแยกตัว บุคคลที่อยู่ในสภาวะ Liminal มักจะถูกแยกตัวออกจากสังคมหรือสถานะเดิม โดยการแยกนี้อาจมีลักษณะทั้งทางกายภาพ (เช่น การย้ายที่) หรือทางสัญลักษณ์ (เช่น การเปลี่ยนสถานะทางสังคม) 3. การรอคอยสถานะใหม่ ซึ่งสภาวะ Liminal เป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอย บุคคลต้องผ่านกระบวนการที่ยังไม่สมบูรณ์ และยังไม่สามารถเข้าสู่สถานะใหม่ได้จนกว่าจะเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด 4. โอกาสในการเปลี่ยนแปลง โดยสภาวะ Liminal มักถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาที่บุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับตัวและพัฒนาในเชิงสังคมหรือจิตวิทยา ตัวอย่างของสภาวะ Liminal อาทิเช่น พิธีบรรลุนิติภาวะหรือพิธีแรกรับ (Initiation Rites) ในพิธีบรรลุนิติภาวะ เด็กที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่จะอยู่ในสถานะ Liminal ระหว่างขั้นตอนของการฝึกฝน ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป พิธีการแต่งงาน ที่คู่บ่าวสาวในระหว่างพิธีแต่งงานยังอยู่ในสภาวะ Liminal เพราะยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์ว่าเป็นคู่สมรส แต่ก็ไม่ได้เป็นโสดอีกต่อไป พิธีการเริ่มงานใหม่ โดยพนักงานใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ในองค์กร อาจจะอยู่ในสภาวะ Liminal เพราะยังไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมองค์กร และยังไม่ได้รับการยอมรับในบทบาทใหม่อย่างเต็มที่ พิธีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือสังคม ซึ่งในช่วงการเปลี่ยนผ่านระบอบการเมืองหรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม กลุ่มประชากรอาจตกอยู่ในสภาวะ Liminal ซึ่งยังไม่ได้รับการยอมรับสถานะใหม่หรือยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ความสำคัญของแนวคิดสภาวะ Liminal ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม มันช่วยให้เกิดการทบทวนตัวตน สถานะ และบทบาทของบุคคล แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในการวิเคราะห์พิธีกรรม สัญลักษณ์ทางสังคม และการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมในหลายๆ ด้านของชีวิต ตัวอย่างเชิงรูปธรรมของพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่าน (Rites of Passage) ตามแนวคิดของ Arnold Van Gennep ในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลกที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. พิธีกรรมการบรรลุนิติภาวะหรือพิธีแรกรับ (Initiation rites) ในหลายวัฒนธรรม พิธีบรรลุนิติภาวะถูกใช้ในการเปลี่ยนสถานะของเยาวชนให้กลายเป็นผู้ใหญ่ ตัวอย่างเช่น พิธีกรรมของชนเผ่าในแอฟริกาที่เด็กผู้ชายจะถูกนำไปอยู่ในป่าหรือสถานที่แยกออกไปจากชุมชนเพื่อรับการฝึกฝนและทดสอบความแข็งแกร่ง หลังจากนั้นพวกเขาจะได้รับการต้อนรับกลับสู่ชุมชนในฐานะผู้ใหญ่ 2. พิธีแต่งงาน โดยการแต่งงานในหลายวัฒนธรรมมีลำดับขั้นตอนตามแนวคิดของ Van Gennep เช่น การแยกตัวของคู่สมรสจากครอบครัวเดิม (Separation) การเฉลิมฉลองในงานแต่งงาน (Transition) และการผสานเข้าสู่สถานะใหม่ในฐานะคู่สมรสที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหม่ (Incorporation) 3.พิธีกรรมการเกิด (Birth Rites) เช่น พิธีกรรมต้อนรับทารกในอินเดีย (Jatakarma) ในวัฒนธรรมฮินดู พิธี Jatakarma เป็นพิธีที่ทำทันทีหลังคลอด โดยมีการกล่าวมนต์เพื่อปกป้องทารกและต้อนรับเข้าสู่โลก (Separation) ทารกจะได้รับการอาบน้ำและแม่จะเริ่มให้นมหลังจากเสร็จพิธี จากนั้นทารกจะได้รับการนำไปพบญาติและชุมชน ซึ่งเป็นการแสดงถึงการผสานเข้าสู่ครอบครัวและชุมชน (Incorporation) พิธีแรกรับทารกในแอฟริกา ชนเผ่าหลายแห่งในแอฟริกามีพิธีต้อนรับทารกที่เกิดมาใหม่ โดยนำทารกไปล้างตัวและให้ชื่อหลังจากผ่านไป 7 วัน (Transition) จากนั้นครอบครัวและญาติจะรวมตัวกันเพื่อต้อนรับทารกอย่างเป็นทางการเข้าสู่สังคม (Incorporation) 4.พิธีกรรมการตาย (Funerary Rites) เช่น พิธีกรรมของชาวโทราจาในอินโดนีเซีย โดยชาวโทราจามีพิธีฝังศพที่ซับซ้อนซึ่งเชื่อมโยงกับการเดินทางของผู้เสียชีวิตไปยังโลกหลังความตาย (Transition) พิธีศพนี้อาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ตาย ในขั้นตอนสุดท้าย ร่างผู้ตายจะถูกฝังในถ้ำหรือบนหน้าผา ซึ่งเป็นการแสดงถึงการผสานกลับเข้าสู่ธรรมชาติและโลกวิญญาณ (Incorporation) พิธีศพของชาวอียิปต์โบราณมีพิธีที่ซับซ้อนสำหรับการส่งผู้ตายไปยังชีวิตหลังความตาย เช่น การทำมัมมี่ (Separation) การทำพิธีเตรียมผู้ตายสำหรับการเดินทางในโลกหลังความตาย (Transition) และการฝังศพในสุสานที่เป็นการกลับเข้าสู่สภาวะใหม่ในชีวิตหลังความตาย (Incorporation) 5.พิธีกรรมทางศาสนา (Religious Rites) การล้างบาปในศาสนาคริสต์ ในคริสต์ศาสนา การล้างบาปเป็นพิธีที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะจากคนทั่วไปสู่การเป็นสมาชิกในศาสนา (Incorporation) ขั้นตอนเริ่มต้นด้วยการแยกตัวจากสภาพเดิมและสังคมก่อนการล้างบาป (Separation) พิธีล้างบาปซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านสำคัญ (Transition) จากนั้นผู้ล้างบาปจะถือว่าได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกของชุมชนคริสเตียนอย่างเต็มตัว (Incorporation) พิธีกรรมการเปลี่ยนศาสนาในอิสลาม (Shahada) การกล่าวคำปฏิญาณตนเพื่อเข้ารับอิสลาม (Shahada) เป็นการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะทางศาสนา ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาจะกล่าวคำสาบานว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากอัลลอฮ์" นี่เป็นการเปลี่ยนสถานะจากคนนอกศาสนาอิสลามไปเป็นมุสลิม (Incorporation) โดยมีการแยกตัวจากสถานะทางศาสนาเดิม (Separation) และการประกาศ Shahada เป็นการเปลี่ยนผ่าน (Transition) พิธีบวชในศาสนาพุทธ การบวชมีลักษณะของพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน โดยมีการแยกผู้บวชออกจากสถานะเดิม การใช้ชีวิตในฐานะพระสงฆ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และการกลับเข้าสู่สถานะทางสังคมใหม่หากมีการลาสิกขา 6. พิธีกรรมในระบบการศึกษา (Educational Rites) เช่น พิธีจบการศึกษา พิธีรับปริญญาหรือจบการศึกษาในหลายสถาบันการศึกษาทั่วโลก ถือเป็นพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ซึ่งนักศึกษาจะถูกแยกจากสถานะของนักเรียน (Separation) พิธีมอบปริญญาคือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน (Transition) และเมื่อสำเร็จการศึกษา นักศึกษาจะถูกยอมรับเข้าสู่โลกการทำงานและสถานะใหม่ในสังคม (Incorporation) ธีกรรมการขึ้นชั้นหรือเลื่อนชั้น ในหลายวัฒนธรรม นักเรียนที่เลื่อนชั้นจะผ่านพิธีที่แสดงถึงการก้าวเข้าสู่ระดับการศึกษาใหม่ เช่น พิธีปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ การย้ายจากชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสู่มัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนสถานะและการเติบโตทางสังคม 7.พิธีกรรมในวัฒนธรรมองค์กร (Corporate Rites) ดังเช่น การต้อนรับพนักงานใหม่ ในหลายบริษัททั่วโลกมีการจัดพิธีต้อนรับพนักงานใหม่เพื่อให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร กระบวนการนี้เริ่มด้วยการแยกพนักงานใหม่ออกจากสถานะเดิม (Separation) เช่น การฝึกอบรม หรือการเข้าร่วมปฐมนิเทศ (Transition) และหลังจากนั้นพนักงานจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่ทีมงานและวัฒนธรรมองค์กร (Incorporation) หรือการเลื่อนตำแหน่งในองค์กรอาจมีพิธีกรรมเฉลิมฉลอง เช่น การแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ หรือการมอบตำแหน่งที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นการแสดงถึงการเปลี่ยนสถานะทางสังคมในระบบงาน ความสำคัญในงานของ Van Gennep นับเป็นการวางรากฐานสำคัญในด้านมานุษยวิทยาสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมและกระบวนการทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนสถานะทางสังคม ซึ่งได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวางในสาขามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา รวมทั้งงานของ Van Gennep ช่วยให้เราเข้าใจความหมายและความสำคัญของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสถานะในหลายแง่มุมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม ศาสนา การศึกษา หรือการงาน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...