ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

"Primitive Culture" (1871) ของ Edward B.Tylor โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนึ่งในหนังสือที่สำคัญที่สุดของ Edward B. Tylor คือ "Primitive Culture" (1871) ซึ่งเป็นงานที่วางรากฐานให้กับวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมสมัยใหม่ ในหนังสือเล่มนี้ Tylor ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศาสนาของมนุษย์ โดยเน้นว่า วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ทุกสังคมมนุษย์มีและสามารถพัฒนาได้ หนังสือเล่มนี้ยังเสนอแนวคิดเรื่องวิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมโดยมองว่าวัฒนธรรมสามารถพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นตามลำดับ อีกแนวคิดหนึ่งที่ Tylor นำเสนอในหนังสือเล่มนี้คือ "animism"หรือ วิญญาณนิยมซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่ามนุษย์ในสมัยดั้งเดิมเชื่อว่าสิ่งของต่าง ๆ ในธรรมชาติมีจิตวิญญาณหรือชีวิต หนังสือ "Primitive Culture" ถือเป็นหนึ่งในงานชิ้นสำคัญที่สร้างทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรม สาระสำคัญของหนังสือ Primitive Culture ของ Edward B. Tylor ประกอบด้วยแนวคิดหลักเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศาสนา โดย Tylor มองว่าวัฒนธรรมเป็นระบบรวมของความรู้ ความเชื่อ ศิลปะ ศีลธรรม กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี และความสามารถอื่น ๆ ที่มนุษย์เรียนรู้และพัฒนาขึ้นในสังคมหนึ่ง ๆ แนวคิดสำคัญได้แก่ 1. วิวัฒนาการทางวัฒนธรรม Tylor นำเสนอว่า วัฒนธรรมของมนุษย์วิวัฒนาการจากระดับที่เรียบง่ายและดั้งเดิม ไปสู่ระดับที่ซับซ้อนและก้าวหน้ามากขึ้น โดยมองว่าทุกสังคมอยู่ในกระบวนการพัฒนาวัฒนธรรมจากความเชื่อพื้นฐานไปจนถึงความเชื่อที่ซับซ้อน 2. Animism (วิญญาณนิยม)Tylor เสนอว่าความเชื่อในจิตวิญญาณและพลังเหนือธรรมชาติเป็นรากฐานของศาสนาทั้งหมด มนุษย์ดั้งเดิมเชื่อว่าสิ่งของทุกอย่างในธรรมชาติมีจิตวิญญาณ ซึ่งความเชื่อนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นศาสนาและความเชื่อที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การบูชาบรรพบุรุษหรือเทพเจ้า 3. Survivals (สิ่งคงเหลือหรือยู่รอด) แนวคิดเรื่อง survivals คือสิ่งที่หลงเหลือจากวัฒนธรรมเก่าที่ไม่มีประโยชน์ในปัจจุบันแต่ยังคงมีอยู่ เช่น ความเชื่อหรือพิธีกรรมโบราณที่ยังคงถูกปฏิบัติในสังคมที่พัฒนาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้มีความหมายในปัจจุบัน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือเล่มนี้ เช่น 1. วิวัฒนาการทางศาสนา Tylor ยกตัวอย่างว่าศาสนาที่เราเห็นในปัจจุบัน เช่น คริสต์ศาสนา พุทธศาสนา หรืออิสลาม ต่างพัฒนามาจากรูปแบบศาสนาพื้นฐานที่เริ่มต้นจากความเชื่อในจิตวิญญาณของธรรมชาติหรือการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับพื้นบ้าน ในขั้นต้น มนุษย์อาจเชื่อว่าต้นไม้ แม่น้ำ หรือภูเขามีจิตวิญญาณ ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นระบบศาสนาที่ซับซ้อนขึ้น 2. ประเพณีการบูชาบรรพบุรุษ Tylor ชี้ให้เห็นว่าการบูชาบรรพบุรุษในหลายวัฒนธรรมเป็นการแสดงออกของแนวคิด animism โดยมนุษย์ดั้งเดิมเชื่อว่าบรรพบุรุษของตนยังมีจิตวิญญาณและสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การบูชาบรรพบุรุษนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาในวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น จีนหรือแอฟริกา 3. การใช้เครื่องรางของขลัง (Amulets and Talismans) ในหลายวัฒนธรรมโบราณและปัจจุบัน การใช้เครื่องรางของขลังเพื่อป้องกันอันตรายหรือเพื่อเสริมความโชคดี เป็นตัวอย่างของแนวคิด animismหรือ วิญญาณนิยม Tylor อธิบายว่า เครื่องรางเหล่านี้เกิดจากความเชื่อที่ว่าสิ่งของบางอย่างมีพลังเหนือธรรมชาติ เช่น ในวัฒนธรรมยุโรปยุคกลาง เชื่อว่าเกือกม้านำโชค หรือในวัฒนธรรมไทย เครื่องรางต่าง ๆ เช่น พระเครื่อง สามารถคุ้มครองผู้สวมใส่จากภัยอันตรายได้ 4. พิธีกรรมในงานแต่งงาน (Wedding Rituals) Tylor เสนอว่าพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการแต่งงานหลายอย่างเป็นสิ่งคงเหลืออยู่ (survivals) จากความเชื่อโบราณ ตัวอย่างเช่น การโยนข้าวหรือข้าวสารในงานแต่งงานในหลายวัฒนธรรม ซึ่งสืบเนื่องมาจากการเชื่อว่าการโยนข้าวเป็นการส่งมอบความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรืองให้แก่คู่บ่าวสาว แม้ว่าคนในปัจจุบันอาจไม่เชื่อในพลังเหนือธรรมชาติของการโยนข้าวสาร แต่ยังคงทำตามธรรมเนียมประเพณีนี้ 5. การเฉลิมฉลองปีใหม่ Tylor ชี้ให้เห็นว่าหลายวัฒนธรรมมีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ โดยมีพิธีกรรมเฉพาะ เช่น การจุดพลุเพื่อไล่สิ่งชั่วร้าย (ตามความเชื่อในวัฒนธรรมจีน) หรือการปล่อยโคมลอยเพื่อเริ่มต้นปีใหม่อย่างเป็นมงคล (ในวัฒนธรรมไทย) เหล่านี้เป็นตัวอย่างของพิธีกรรมที่เคยเกี่ยวข้องกับการเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์หรือขับไล่พลังลบ แต่ในปัจจุบันกลายเป็นประเพณีเพื่อความสนุกสนานและการเริ่มต้นใหม่ 6. การห้ามทำกระจกแตก ในหลายวัฒนธรรมมีกฎห้ามหรือความเชื่อว่า การทำกระจกแตกเป็นลางร้ายและจะนำพาความโชคร้ายมาให้ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเชื่อว่าหากกระจกแตกจะทำให้เคราะห์ร้ายตามมา 7 ปี ความเชื่อนี้มีรากฐานมาจากการที่กระจกเคยถูกมองว่าเป็นวัตถุที่มีพลังพิเศษ สามารถสะท้อนจิตวิญญาณของผู้คน จึงเป็นเหตุให้การทำลายมันนำไปสู่ความเสียหายต่อจิตวิญญาณ 7. ความเชื่อเรื่องผีและวิญญาณในธรรมชาติ ในบางพื้นที่ของโลก เช่น ในชนเผ่าพื้นเมืองในแอฟริกาหรืออเมริกาใต้ มีความเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เช่น ป่า แม่น้ำ หรือภูเขา เป็นที่อยู่ของวิญญาณ Tylor ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดเหล่านี้เป็นรากฐานของศาสนาต่าง ๆ ที่พัฒนามาจาก animism ซึ่งมนุษย์มองเห็นธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเป็นที่อยู่อาศัยของพลังเหนือธรรมชาติ 8. การใช้เวทมนตร์ (Magic) Tylor ยังได้อธิบายถึงการใช้เวทมนตร์ในวัฒนธรรมดั้งเดิมว่าเป็นการแสดงออกของความพยายามที่จะควบคุมธรรมชาติผ่านพลังเหนือธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การทำพิธีเรียกฝนในสังคมเกษตรกรรม หรือการทำพิธีปกป้องหมู่บ้านจากภัยพิบัติ แม้ว่าในปัจจุบันความเชื่อเรื่องเวทมนตร์จะถูกแทนที่ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่การใช้พิธีกรรมเหล่านี้ก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในบางวัฒนธรรม กรอบคิดในการวิเคราะห์เรื่อง Animism (วิญญาณนิยม) ของ Edward B. Tylor ในหนังสือ Primitive Culture เป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ใช้ในการอธิบายพัฒนาการทางศาสนาและวัฒนธรรมของมนุษย์ Tylor มองว่า Animism เป็นรูปแบบศาสนาที่พื้นฐานที่สุดในทุกวัฒนธรรม ก่อนที่จะวิวัฒนาการไปสู่ศาสนาที่ซับซ้อนมากขึ้น กรอบคิดในการวิเคราะห์เรื่อง Animism ของ Tylor สามารถสรุปได้ดังนี้ 1. Animism เป็นรากฐานของศาสนา Tylor เห็นว่าแนวคิด Animism เป็นรากฐานดั้งเดิมที่สุดของศาสนา ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่มนุษย์เชื่อว่าโลกและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเต็มไปด้วย จิตวิญญาณ (souls) หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ มนุษย์ดั้งเดิมเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลาย เช่น ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ รวมถึงสัตว์ต่าง ๆ มีจิตวิญญาณที่สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาได้ 2. การอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ Tylor วิเคราะห์ว่ามนุษย์ดั้งเดิมไม่สามารถเข้าใจหรืออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ เช่น ความตาย การฝัน หรือโรคภัยไข้เจ็บ พวกเขาจึงพยายามหาคำอธิบายโดยใช้แนวคิดเรื่อง **จิตวิญญาณ** เช่น การฝันถูกมองว่าเป็นการที่วิญญาณออกจากร่างกายชั่วคราวในระหว่างที่นอนหลับ และการตายคือการที่จิตวิญญาณออกจากร่างไปอย่างถาวร แนวคิดนี้ช่วยให้มนุษย์ในสมัยโบราณทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ที่ยากจะอธิบายได้ด้วยตรรกะธรรมดา 3. Animism และการพัฒนาเป็นศาสนาที่ซับซ้อน จากพื้นฐานความเชื่อใน Animism นี้ Tylor เชื่อว่าศาสนาที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การบูชาเทพเจ้า (polytheism) และศาสนาเอกเทวนิยม (monotheism) พัฒนามาจากความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามีจิตวิญญาณอยู่ในธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การเชื่อว่าดวงอาทิตย์มีวิญญาณ และต่อมาได้พัฒนาเป็นการบูชาดวงอาทิตย์ในฐานะเทพเจ้า 4. การสังเกตจากวัฒนธรรมพื้นเมือง Tylor ใช้การสังเกตและศึกษาวัฒนธรรมพื้นเมืองในหลากหลายภูมิภาค เช่น ชนพื้นเมืองในแอฟริกา อเมริกาใต้ และเอเชีย เพื่อยืนยันว่าแนวคิดเรื่อง Animism เป็นแนวคิดสากลที่พบได้ในหลายสังคมที่ยังคงมีวัฒนธรรมดั้งเดิม เขาพบว่าหลายสังคมพื้นเมืองยังคงมีความเชื่อในจิตวิญญาณของธรรมชาติและการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติเหล่านั้น 5. ความคิดเรื่อง "Soul" หรือจิตวิญญาณ Tylor เสนอว่า แนวคิดเรื่อง "Soul" หรือจิตวิญญาณ เป็นหัวใจสำคัญของ Animism และเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ความเชื่อว่าทุกสิ่งมีจิตวิญญาณนี้นำไปสู่การสร้างพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การเซ่นไหว้เพื่อขอความเมตตาจากจิตวิญญาณ หรือการประกอบพิธีกรรมเพื่อปัดเป่าพลังชั่วร้าย 6. Survivals (สิ่งคงเหลือ) ในศาสนาปัจจุบัน Tylor ชี้ให้เห็นว่าแม้ในศาสนาที่พัฒนามากขึ้น เช่น คริสต์ศาสนา อิสลาม หรือพุทธศาสนา ก็ยังมี "survivals" หรือสิ่งคงเหลือจากความเชื่อ Animism เช่น ความเชื่อเรื่องผี วิญญาณบรรพบุรุษ หรือการใช้เครื่องรางของขลัง สิ่งเหล่านี้แม้จะถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับศาสนาที่ซับซ้อนขึ้น แต่ก็ยังสะท้อนถึงรากฐานของ Animism ที่ฝังลึกในวัฒนธรรมของมนุษย์ 7. การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ Tylor เป็นนักมานุษยวิทยารุ่นแรกที่พยายามวิเคราะห์ศาสนาและความเชื่อโดยใช้กรอบคิดทางวิทยาศาสตร์ เขาเชื่อว่าความเชื่อใน Animism เกิดจากความพยายามของมนุษย์ในการอธิบายโลกและปรากฏการณ์ธรรมชาติด้วยวิธีที่เหมาะสมกับระดับความรู้ของพวกเขาในขณะนั้น Tylor มองว่า Animism เป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดของศาสนา ซึ่งมาจากการที่มนุษย์พยายามอธิบายโลกผ่านแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณ แนวคิดนี้ได้พัฒนาไปสู่ระบบศาสนาที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การบูชาเทพเจ้าและศาสนาเอกเทวนิยม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...