ถ้าพูดถึงวัตถุและสิ่งของในมิติทางวัฒนธรรม มีหนังสือหลายเล่มที่น่าสนใจ เช่น The Social Life of Things: Commodities in Cultural Perspective โดยมี Arjun Appadurai เป็นบรรณาธิการ หนังสือเล่มนี้สำรวจถึงความหมายของวัตถุในชีวิตประจำวันและกระบวนการที่สิ่งของกลายเป็นสิ่งมีค่าในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม หรืองานของ Daniel Miller เรื่อง Material Culture and Mass Consumption ที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับวัตถุในบริบทของการบริโภค โดยใช้กรอบแนวคิดทางมานุษยวิทยาเพื่อศึกษาโลกของการบริโภคในปัจจุบัน รวมถึงหนังสือเรื่อง Stuff ที่วิเคราะห์ถึงความสำคัญของ "สิ่งของ" ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ผ่านมุมมองของมานุษยวิทยาและเศรษฐกิจการบริโภค
หรืองานชื่อ The Anthropology of Space and Place: Locating Culture ของ Setha M. Low and Denise Lawrence-Zúñiga ที่เกี่ยวกับการศึกษาพื้นที่และสถานที่ในมุมมองของวัตถุและวัฒนธรรม โดยเน้นการสร้างและการใช้พื้นที่ในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม รวมถึง The Material Culture Reader ที่มี Victor Buchli เป็นบรรณาธิการ หนังสือเล่มนี้รวบรวมบทความที่สำรวจบทบาทของวัตถุในชีวิตประจำวันจากหลากหลายมุมมองทางมานุษยวิทยา เช่น การใช้วัตถุเพื่อแสดงออกทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมือง สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจ
1. การมองวัตถุเป็นศูนย์กลางของสังคม
หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดว่าวัตถุไม่ใช่สิ่งเฉยๆ ที่ไม่มีบทบาท แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่กำหนดและสะท้อนความสัมพันธ์ทางสังคม วัฒนธรรม และการเมือง
2. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับวัตถุ
การที่มนุษย์สร้างและใช้วัตถุไม่ใช่แค่เพื่อวัตถุประสงค์เชิงกายภาพเท่านั้น แต่ยังแฝงด้วยความหมายทางสังคม เช่น การสะท้อนอัตลักษณ์ ความเชื่อ และสถานะทางสังคม
3. วัตถุและการสร้างอัตลักษณ์
วัตถุมีบทบาทสำคัญในการสร้างอัตลักษณ์ของบุคคลและกลุ่ม ตัวอย่างเช่น เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ หรือสิ่งของสะสมที่สามารถสะท้อนตัวตน ความเป็นกลุ่ม หรือสถานะ
4. วัตถุกับสภาพแวดล้อมและอำนาจ
วัตถุสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจได้ เช่น การใช้วัตถุในพิธีกรรมหรือการออกแบบพื้นที่ในการแสดงอำนาจ
5. ความเป็นตัวแทนของวัตถุในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในวัตถุสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรม สังคมและประวัติศาสตร์อย่างไร
ดังนั้น วัฒนธรรมทางวัตถุ (Material Culture) จึงเป็นคำที่ใช้ในแวดวงวิชาการทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาเพื่ออ้างถึงวัตถุที่มีตัวตนและเป็นรูปธรรมทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้น ถูกใช้ ถูกเก็บรักษา และถูกทิ้งไว้เบื้องหลังผ่านวัฒนธรรมในอดีตและสืบต่อสู่ปัจจุบัน
วัฒนธรรมทางวัตถุ ยังหมายถึง สิ่งของที่ใช้ ที่อยู่อาศัย วัตถุที่ถูกจัดแสดง และวัตถุที่สร้างประสบการณ์ หรือข้อกำหนดบางอย่าง รวมถึงทุกสิ่งที่ผู้คนทำ รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เครื่องปั้นดินเผา บ้าน เฟอร์นิเจอร์ ถนนหนทางแม้แต่ตัวของเมืองเองด้วยก็ตาม..ก็ถือว่าเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุ
วัฒนธรรมทางวัตถุหมายถึงวัตถุที่จับต้องได้ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้น จุดสนใจอย่างหนึ่งของนักมานุษยวิทยาต่อวัตถุก็คือความหมายของวัตถุ เรานำวัตถุใช้อย่างไร หรือเราปฏิบัติต่อวัตถุอย่างไร เราพูดถึงมันอย่างไร วัตถุบางอย่างสะท้อนถึงความเชื่อมโยงประวัติของครอบครัว การเป็นสัญลักษณ์ร่วม บ่งบอกสถานะทางสังคม การเชื่อมโยงกับมิติทางเพศ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจรวมถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์...
วัฒนธรรมทางวัตถุสะท้อนถึงสังคมและมีส่วนร่วมในการประกอบสร้างและการเปลี่ยนผ่าน การสร้างสรรค์ การแลกเปลี่ยน และการบริโภควัตถุเป็นส่วนสำคัญของการแสดง การเจรจาต่อรอง และเสริมสร้างตัวตนที่เฉพาะในพื้นที่สาธารณะ..
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มันมีความหมายมากกว่าตัววัตถุ เพราะวัตถุมันเกี่ยวเนื่องกัมนุษย์ และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ทั้งความคิด ควาเชื่อ จิตวิญญาณ เพียงแต่ความหมายตรงนี้ เราเข้าใจผ่านมุมมองของผู้สร้างสิ่งนั้นๆหรือเราตีความกันไปไกลกว่าที่ตัวผู้สร้างเองจะคาดถึง หรือแม้แต่ความสามารถของเราในการอ่านรหัสทางวัฒนธรรมที่ผู้สร้างใส่ลงไปในตัววัตถุที่สร้างได้อย่างรู้เท่าทัน และเข้าใจความหมายที่แท้จริง อันนี้ก็ถือเป็นสิ่งดี ที่ควรจะทำ...แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ ในยุคปัจจุบันภายใต้วิธีคิดแบบสัญวิทยาที่บอกว่า Death of the Author ผู้สร้างผู้แต่งตายไปแล้ว แต่ตัวผู้ตีความต่างหากที่สร้างความหมายและขยายต่อความหมายนั้นๆ ตามมุมมองการรับรู้ ประสบการณ์และอคติของตัวเอง..เป็นสิ่งที่น่าขบคิดและวิพากษ์เป็นอย่างยิ่ง ในยุคที่สังคมไม่มีสิ่งที่เรียกว่า Origin อีกต่อไป มีแต่สิ่งที่แตกหน่อ ออกลูก แผ่หลานและก้าวผ่านมาจากสิ่งที่เป็นOrigin...แล้วความหมายของวัตถุและการครอบครองตำแหน่งแห่งที่ทางอำนาจของการอธิบายวัตถุควรจะเป็นของใคร หรือตัววัตถุเองที่มีอำนาจในตัวเองและทำให้คนปฏิบัติหรือมีความคิดต่อวัตถุนั้นอย่างไม่ตั้งคำถาม หรือวัตถุได้นำไปสู่การสร้างความขัดแย้งในมวลหมู่มนุษย์ด้วยกันเอง อำนาจในการควบคุมวัตถุได้หลุดลอยออกจากมนุษย์ แต่วัตถุกำลังแสดงให้เห็นอำนาจและควบคุมเหนือตัวมนุษย์ สิ่งนี้ก็น่าสนใจไม่น้อยที่จะศึกษาทำความเข้าใจต่อ..
สุดท้ายแม้ตัววัตถุจะเป็นสิ่งที่ต้องมีความหมาย แต่ความว่างเปล่าก็ล้วนเป็นความหมายแบบหนึ่ง หากมนุษย์มีอำนาจให้ความหมายต่อวัตถุ แต่ทำไมความหมายจึงแตกต่างหลากหลายกันไป หรือตัววัตถุมีความหมายมากมายในตัวมันเอง เพื่อรอการค้นพบ ใส่ความหมาย สภาวะของวัตถุจึงเป็น floating signifier หรือรูปสัญญะที่ล่องลอยตามการอธิบายแบบสี(วิทยา หลังโครงสร้างนิยม หรือแบบที่ Jacques Derrida บอกว่ามันคือ Difference หรืความหลากเลื่อน(หลากหลาย +ชะลอ) ภาวะของการชะลอความหมาย ที่รอให้ความหมายมาเกาะเกี่ยวอย่างไม่สิ้นสุด
เรื่องของวัตถุทางวัฒนธรรมจึงมีความน่าสนใจอย่างมากในการศึกษา ในสังคมที่วัตถุเหล่านี้ได้ก้าวข้ามจากประโยชน์ใข้สอย สู่กสรแลกเปลี่ยน และหลายเป็นสัญญะแบบหนึ่งในวัฒนธรรมบริโภค
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น